โรคภัยไข้เจ็บในปัจจุบันนั้นมีอยู่อย่างมากมายหลายรูปแบบและมีความเป็นอันตรายอย่างมากต่อมนุษย์ ซึ่งหากไม่มีภูมิคุ้มกันที่ดีพอ ก็สามารถเจ็บป่วยได้ ตัวอย่างโรคภัย เช่น โควิด-19, ไข้หวัดนก หรือไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น
โดยโรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่มีมาอย่างยาวนาน สามารถแบ่งเป็น ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A หรือไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ซึ่งอาการไข้หวัดใหญ่ของทั้งสองสายพันธุ์ก็จะแตกต่างกัน แต่ก็มีความอันตรายทั้งสองสายพันธ์ุ โดยไข้หวัดใหญ่ (Spanish flu) เป็นโรคไข้หวัดที่ระบาดอย่างรุนแรงในช่วงปี 1918 ถึง 1919 ซึ่งโรคนี้เป็นหนึ่งในโรคระบาดร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ จนมีคนตายไปกว่า 50 ล้านคนทั่วโลกโดยประมาณ
อาการไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ สายพันธุ์ B ต่างกันยังไง.
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A (Spanish flu strain A) และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B (Spanish flu strain B) เป็นสายพันธุ์ของไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดในปี 1918 ถึง 1919 และมีความแตกต่างกันในบางส่วนดังนี้
- อาการไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มีความรุนแรงมากกว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ทำให้มีอัตราการตายมากกว่า แต่ก็มีผลกระทบต่อสุขภาพทั้งคู่
- เนื่องจากอาการไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มีความรุนแรงมากกว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B มีผลกระทบต่อสุขภาพที่แตกต่างกัน เช่น ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A จะมีอาการปอดบวมและหายใจลำบาก ส่วนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B จะมีอาการไข้สูง ปวดหัว และปวดตามร่างกาย
- การระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มีความรุนแรงและรวดเร็วในหลายที่ทั่วโลก ส่วนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B มีการระบาดที่เบาบางกว่า
จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าอาการไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A จะมีการระบาดและความรุนแรงมากกว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ทำให้ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A เป็นที่รู้จักมากกว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B
ไข้หวัดใหญ่เกิดจาก
ไข้หวัดใหญ่ (influenza) เกิดจากไวรัสไข้หวัดสายพันธุ์ H1N1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ของไวรัสไข้หวัดที่มีความแตกต่างจากไวรัสไข้หวัดที่ระบาดทั่วไป โดยเป็นสายพันธุ์ไวรัสที่มีความรุนแรงมากกว่าไข้หวัดทั่วไป เกิดจากการสัมผัสเชื้อไวรัสจากละอองฝอยในอากาศ เมื่อผู้ป่วยมีอาการไข้หวัดใหญ่ เช่น ไอ, จาม หรือพูดคุย คนทั่วไปอาจสูดรับเชื้อโรคทางลมหายใจหรือสัมผัสเชื้อที่ติดอยู่บนพื้นผิวของวัตถุ
อาการไข้หวัดใหญ่ที่พบได้บ่อย ๆ
อาการไข้หวัดใหญ่ (influenza) มีความหลากหลายและอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล อาการที่พบได้บ่อย ๆ สำหรับไข้หวัดใหญ่ประกอบด้วย
- อาการมีไข้สูง โดยอุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นจากปกติประมาณ 38-40 องศาเซลเซียส และอาจรู้สึกเหนื่อยมากกว่าปกติ
- อาการเจ็บคอ โดยอาจจะมีการปวดคอร่วมด้วย
- อาการน้ำมูกไหลหนืดและคัดจมูก
- อาการไอทั้งแบบมีเสมหะและไม่มีเสมหะ
- อาการปวดกล้ามเนื้อและข้อต่าง ๆ บางครั้งจะรู้สึกเหนื่อยตัว
- อาการปวดศีรษะและอาจมีความรู้สึกอ่อนเพลีย
- อาการคลื่นไส้และอาเจียน
- อาจเกิดอาการแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบหรือติดเชื้อร้ายแรงอื่น ๆ ได้
ซึ่งอาการไข้หวัดใหญ่สามารถเป็นรุนแรงในกลุ่มผู้สูงอายุและบุคคลที่มีภาวะทางสุขภาพที่มีปัญหา เช่น โรคเรื้อรังหรือภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เพราะฉะนั้นการดูแลรักษากับป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นสิ่งสำคัญ เช่น ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพสำหรับป้องกัน
อาการไข้หวัดใหญ่ที่รุนแรงและควรไปพบแพทย์
อาการไข้หวัดใหญ่ (influenza) สามารถเป็นรุนแรงและมีอาการที่ควรพบแพทย์ ดังนี้
- มีไข้สูงกว่า 39 องศาเซลเซียส และยังคงมีไข้สูง ๆ เป็นมานาน
- หายใจลำบาก หอบเหนื่อย หรือจมูกและปากเป็นสีฟ้า เพราะอาจเป็นสัญญาณของปอดอักเสบรุนแรง
- เจ็บแน่นหน้าอก เจ็บร้าวรอบบริเวณลำคอ แขนซ้าย หรือไหล่ อาจเป็นอาการของกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
- ตาแดง หายใจเข้ามีเสียงดัง หรือมีเลือดในเสมหะหรือเสมหะเป็นสีน้ำตาล เพราะอาจเป็นภาวะโรคความดันลำไส้ (glaucoma) อาจต้องตรวจสอบการติดเชื้อทางเดินหายใจ
การตรวจรักษาและดูแลรักษาที่เหมาะสมสำคัญมากในกรณีที่มีอาการไข้หวัดใหญ่ที่รุนแรง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน รวมถึงความรุนแรงของโรค ควรพบแพทย์ที่ใกล้โดยเร็วที่สุดหากมีอาการเสี่ยงหรือรุนแรงดังกล่าว
วิธีป้องกันไข้หวัดใหญ่
เพื่อป้องกันอาการไข้หวัดใหญ่และทำให้มีสุขภาพที่ดีตลอดเวลา สามารถดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่
ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสำหรับป้องกันโรคนี้ ควรฉีดวัคซีนทุกปี เนื่องจากเชื้อไข้หวัดใหญ่สามารถเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา วัคซีนจะช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ป้องกันเชื้อไข้หวัดใหญ่
2. ล้างมืออย่างสม่ำเสมอ
ล้างมือด้วยน้ำและสบู่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับป้องกันการติดเชื้อ ล้างมืออย่างสม่ำเสมอหลังจากสัมผัสพื้นผิวที่อาจมีเชื้อโรค หลังไอหรือจาม รวมถึงก่อนจะรับประทานอาหาร
3. ป้องกันการไอและจาม
ควรใช้ทิชชูเป็นมารยาทเมื่อไอหรือจาม เพื่อป้องกันการกระเด็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ไปยังผู้อื่น
4. หลีกเลี่ยงการสัมผัสตาและจมูก
ควรหลีกเลี่ยงสัมผัสตาและจมูกด้วยมือที่ไม่ล้างหรือผ้าไม่สะอาด เพราะอาจมีเชื้อไข้หวัดใหญ่
5. หลีกเลี่ยงการไปสถานที่แออัด
หลีกเลี่ยงการไปยังสถานที่ที่คนมากมายและแออัด เช่น ตลาดหรืองานแสดง เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ
6. ออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่เหมาะสม
ออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีโปรตีนเพียงพอ ผักและผลไม้ จะช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
7. พักผ่อนเพียงพอ
ต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะการพักผ่อนมีบทบาทสำคัญสำหรับเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ภาวะแทรกซ้อนจากอาการไข้หวัดใหญ่ที่อาจจะเกิด
อาการไข้หวัดใหญ่ (influenza) อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่เป็นอันตรายได้ ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากไข้หวัดใหญ่ เช่น
- ปอดอักเสบ
- ติดเชื้อในหูและโพรงจมูก
- กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
- ปัญหาเรื่องการหายใจ
- ติดเชื้อในทางเดินอาหาร
สรุปอาการไข้หวัดใหญ่
อาการไข้หวัดใหญ่จากโรคไข้หวัดใหญ่มีอยู่หลายอย่าง เราควรสังเกตอาการของโรคว่ามีความปกติมากน้อยแค่ไหน หากมีอาการของโรคแทรกซ้อนควรเข้าพบแพทย์ในทันที นอกจากนั้นต้องหาวิธีป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ