หากพูดถึงการฉีดโบท็อกซ์ ในช่วงนี้ต้องยอมรับว่า ถูกพูดถึงมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่อายุยังไม่ถึง 30 ปี เพื่อให้คงความอ่อนเยาว์ไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
แท้จริงแล้วเราควรฉีดโบท็อกช่วงอายุเท่าไร? การฉีดโบท็อกซ์เหมาะกับใครบ้าง ฉีดจุดไหนได้บ้าง หากต้องการฉีดโบท็อกควรเลือกฉีดโบท็อกซ์ที่ไหนดี ถึงจะปลอดภัย ไม่เสี่ยง ในบทความเรามีคำตอบมาฝาก
H2 : ฉีดโบท็อก คืออะไร? เหมาะกับใครบ้าง?
การฉีดโบท็อกซ์ คือหนึ่งในหัตถการที่ช่วยคงความอ่อนเยาว์ ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยโบท็อกซ์ คือ ชื่อทางการค้าของ โบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ ( Botulinum toxin type A) เป็นสารสกัดจากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า คลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum)
ในปัจจุบันโบท็อกถูกนำมาใช้ในวงการเสริมความงามอย่างแพร่หลาย เพื่อช่วยคงความอ่อนเยาว์ ลดเลือนริ้วรอย โดยเมื่อฉีดไปแล้วจะสารจะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท (Neurotoxin) มีผลทำให้มัดกล้ามเนื้อทำงานได้ลดลงชั่วคราวจึงช่วยลดริ้วรอยได้ เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าแบบไม่ให้หน้าเปลี่ยนไปมาก ต้องการลดเลือนริ้วรอย อยากให้ใบหน้าตึงกระชับขึ้น แบบไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผลและไม่ต้องพักฟื้น
ฉีดโบท็อกซ์ ช่วยเรื่องอะไร ?
- ช่วยลดริ้วรอย ด้วยกลไกการออกฤทธิ์ของโบท็อกทำให้กล้ามเนื้อขยับได้น้อยลง ริ้วรอยบนใบหน้าจึงลดลงได้ เช่น รอยตีนกา รอยขมวดคิ้ว รอยย่นหน้าผาก โดยหลังฉีดริ้วรอยจะค่อย ๆ ลดลง สามารถเริ่มเห็นผลภายใน 3-7 วัน
- ช่วยปรับรูปหน้า โบท็อกสามารถทำให้กล้ามเนื้อเล็กลง เนื่องจากกล้ามเนื้อโดยปกติหากไม่ได้ขยับเขยื้อนจะค่อย ๆ มีขนาดเล็กลงอยู่แล้ว จึงนิยมฉีดตรงแนวขากรรไกร กราม เพื่อปรับใบหน้าให้เล็กและเรียวขึ้น ในผู้ที่มีปัญหากรามใหญ่ หน้าบ้าน จากกล้ามเนื้อกราม รวมถึงฉีดตรงปีกจมูก เพื่อให้ปีกจมูกเล็ดลงได้ โดยจะเริ่มเห็นผลภายใน 1-2 เดือน
- ช่วยฟื้นฟูผิว หลายคนอาจะไม่ค่อยรู้ว่าการฉีดโบท็อกสามารถช่วยให้รูขุมขนเล็กลงได้ด้วย เมื่อฉีดโบท็อกไปที่กล้ามเนื้อและต่อมไขมัน รูขุมขนจะหดเล็กลง ต่อมไขมันลดขนาด จึงช่วยให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนขึ้นได้
นอกจากโบท็อกจะช่วยในเรื่องความงามแล้ว โบท็อกยังสามารถช่วยรักษาโรคได้ด้วย ในทางการแพทย์มีการใช้ โบทูลินั่ม ท็อกซิน ในการรักษา เช่น ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperhidrosis),การปวดศีรษะแบบไมเกรน (Migrain) หรือ การปวดศีรษะจากความเครียด (Tension) และ ภาวะความผิดปกติที่เกิดจากการทำงานมากเกินของกล้ามเนื้อ เช่น ตาเข (Strabismus) หนังตากระตุก (Blepharospasm) กล้ามเนื้อคอเกร็งตัว (Cervical dystonia) เป็นต้น
อายุเท่าไร ถึงจะฉีดโบท็อกซ์ได้
อายุที่เหมาะกับการฉีดโบท็อกที่หลายคนสงสัย ว่าควรจะเริ่มตอนช่วงอายุเท่าไร ถึงจะเหมาะสม จริง ๆ แล้วการฉีดโบท็อกซ์โดยทั่วไปจะฉีดเมื่อมีปัญหาริ้วรอย หรือฉีดได้ตั้งแต่อายุ 25 ปี ขึ้นไป หากเริ่มฉีดโบท็อกตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะช่วยป้องกันริ้วรอยที่จะเกิดในอนาคตได้ รวมถึงใช้ปริมาณตัวยาเพียงเล็กน้อย ก็เห็นผลลัพธ์ที่ดีได้แล้ว
หากฉีดเมื่ออายุมาก ๆ มีริ้วรอยค่อนข้างเยอะ ก็จะปริมาณตัวยาที่มากขึ้น และไม่อาจฟื้นฟูได้ได้ดี ผลลัพธ์มีประสิทธิภาพเท่ากับช่วงอายุยังน้อย
ฉีดโบท็อกซ์ อันตรายไหม ?
เมื่อเริ่มฉีดโบท็อกตั้งแต่อายุยังน้อย จะเป็นอันตรายหรือไม่ มีการสะสมในร่างกายไหม ? ในกรณีหากใช้ โบท็อกแท้ที่ได้มาตรฐาน สามารถสลายเองได้ 100% ไม่มีสารตกค้าง มีความปลอดภัยสูง
ส่วนเรื่องความอันตรายมักมากจากการใช้โบท็อกปลอม โบท็อกหิ้ว ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือฉีดโบท็อกกับหมอที่ไม่มีประสบการณ์ ก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ฉีดแล้วหน้าแข็ง ยิ้มไม่เป็นธรรมชาติ ปากเบี้ยว ตาตก ตามที่เป็นข่าว ซึ่งต้นเหตุมากจาก ประสบการณ์ของแพทย์ที่ฉีดโบท็อก โดยเฉพาะการฉีดกับหมอกระเป๋า หมอที่ไม่มีประสบการณ์ ไม่รู้กายวิภาคอาจฉีดผิดตำแหน่ง พลาดฉีดโบท็อกโดนเส้นเลือด หรือใช้ปริมาณโบท็อกที่มากไป ก็จะก่อให้เกิดอันตรายต่อคนไข้ได้ แต่ถ้าฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์และคลินิกที่ได้มาตรฐานก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย
ฉีดโบท็อกตรงไหนได้บ้าง ?
บริเวณที่นิยมฉีดโบท็อก มักเป็นส่วนที่เกิดริ้วรอยได้ง่าย มีการเกิดรอยพับจากการแสดงสีหน้าหรืออารมณ์ต่าง ๆ และฉีดเพื่อปรับรูปหน้า ได้แก่
- ริ้วรอยหางตา ตีนกา
- หน้าผาก
- ระหว่างคิ้ว
- บริเวณกราม ปรับหน้าเรียว ลดโหนกแก้ม
- ลดปีกจมูก รัดแกรนจมูก
นอกจากนี้ยังฉีดในจุดอื่น ๆ เช่น ฉีดลดน่อง ลดแขน ฉีดลดเหงื่อบริเวณรักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และฉีดรักษาไมเกรน เป็นต้น
ฉีดโบท็อก ยี่ห้อไหนดี ?
ปัจจุบันโบท็อกที่ได้รับการรับรองจากอย. ไทย และมีการนำเข้ามาอย่างถูกกฎหมายมีหลายยี่ห้อ จากหลายประเทศ เช่น อเมริกา อังกฤษ เยอรมัน และเกาหลี ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นที่แตกต่างกัน
- โบท็อกยี่ห้อ Allergan เป็นโบท็อกอเมริกา ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศไทย รวมถึงในต่างประเทศทั่วโลก ถือเป็นโบท็อกตัวแรกที่นำมาใช้เพื่อความงาม เป็นต้นแบบของโบท็อกทุกชนิด มีความบริสุทธิ์มากถึง 99.5% ทำให้โอกาสดื้อโบท็อกน้อยที่สุด และผลการรักษาดีที่สุดเมื่อเทียบกับโบท็อกยี่ห้ออื่น ๆ
- โบท็อกยี่ห้อ Dysport เป็นโบท็อกจากประเทศอังกฤษ เป็นตัวยาที่มีการกระจายตัวกว้าง ทำให้การฉีดต้องอาศัยแพทย์ที่มีประสบการณ์ และความระมัดระวังในการฉีดสูง นิยมใช้ฉีดลดน่อง ลดแขน
- โบท็อกยี่ห้อ Xeomin เป็นโบท็อกเยอรมัน มีจุดเด่นที่เน้นพัฒนาโดยเอาข้อดีของ Allergan กับ Dysport มารวมกัน ได้ผลดีในเคสที่ดื้อยา
- โบท็อกยี่ห้อ Nabota เป็นโบท็อกจากเกาหลี ออกฤทธิ์ไวกว่าโบท็อกเกาหลียี่ห้ออื่นเล็กน้อย เหมาะกับคนที่ต้องการผลโบท็อกแบบเร่งด่วน
- โบท็อกยี่ห้อ Aestox เป็นโบท็อกจากเกาหลี เช่นกัน ตัวยามีความบริสุทธิ์ถึง 99.5 % ทำให้โอกาสที่จะดื้อยา หรือดื้อโบท็อกลดน้อยลง นิยมใช้เพื่อปรับรูปหน้า ลดกราม ลิฟต์หน้า ลดริ้วรอย เห็นผลไว
ส่วนจะเลือกยี่ห้อไหนดี อาจพิจารณาจากงบประมาณ และปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์แนะนำยี่ห้อที่เหมาะสมในจุดที่เราต้องการฉีดได้ โดยปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์และทุกครั้งควรจะเปิดขวดใหม่ ผสมยาต่อหน้า หลังฉีดควรจะเก็บขวดและกล่องกลับบ้าน หรือถ่ายรูปเก็บไว้ เพื่อไว้ตรวจสอบว่าเป็นโบท็อกแท้จริง ๆ
ฉีดโบท็อก ที่ไหนดี ? เลือกคลินิกอย่างไรให้ปลอดภัย ?
เนื่องจากการฉีดโบท็อกแพร่หลาย และได้รับความนิยม ในหลายคลินิกที่เปิดให้บริการฉีดโบท็อก ยังมีโบท็อกปลอม โบท็อกหิ้วราคาถูกอยู่ ซึ่งพบเห็นได้อยู่บ่อยครั้ง เพื่อความปลอดภัย ควรพิจารณาเลือกคลินิกอย่างละเอียด โดยพิจาณาจากปัจจัยเหล่านี้
- เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีใบอนุญาติถูกต้องและดำเนินงานโดยแพทย์เท่านั้น
- แพทย์ต้องมีประสบการณ์ สามารถเอาชื่อนามสกุลเข้าไปตรวจในเว็บไซต์ของแพทยสภา (http://www.tmc.or.th/check_md/) เพื่อดูว่าเป็นหมอจริงหรือไม่
- ต้องใช้โบท็อกแท้เท่านั้น การฉีดโบท็อกปลอมเป็นอันตราย เมื่อฉีดไปนาน ๆ ทำให้เกิดการดื้อโบท็อก (ในปัจจุบันยังไม่มีทางรักษา)
อย่าเห็นแก่ของถูก แนะนำเลือกคลินิกยินยอมให้ตรวจสอบโบท็อกก่อนฉีด มีใบรับรอง หรือสามารถโทรเช็คเลข Lot. กับบริษัทนำเข้าได้ ก็จะช่วยยืนยันถึงคุณภาพและความปลอดภัยก่อนฉีด
สรุป
การฉีดโบท็อกถือเป็นหัตถการตัวช่วยที่ดี ที่ช่วยคงความอ่อนเยาว์ เพราะสามารถช่วยแก้ปัญหาได้หลากหลาย ทั้งการลดริ้วรอย ลดกราม ปรับหน้าเรียว ใครที่สนใจอยากฉีดโบท็อกแบบปลอดภัย ได้ผลลัพธ์ดี ต้องฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และใช้โบท็อกแท้เท่านั้น