เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินถึงโรคต้อ หรือตาเป็นต้อ แต่อาจไม่เข้าใจถึงอาการของโรค และสาเหตุของการเกิดโรค ดังนั้นในบทความนี้จะมาแนะนำประเภทต่าง ๆ ของโรคต้อ วิธีรักษา และการป้องกันการเกิดโรคต้อ เพราะโรคต้อไม่จำเป็นต้องเป็นผู้สูงอายุเท่านั้นที่เป็น กิจกรรมบางอย่างก็เป็นความเสี่ยงที่ก่อให้เป็นต้อได้เร็วขึ้นเช่นกัน
โรคต้อ หรือที่เรียกกันว่า ตาเป็นต้อ
โรคต้อ เป็นโรคทางตาประเภทหนึ่ง ซึ่งโรคต้อนั้นสามารถแบ่งได้เป็น 4 โรค ได้แก่ ต้อลม ต้อเนื้อ ต้อกระจก และต้อหิน ซึ่งแต่ละต้อมีความแตกต่างทั้งสาเหตุการเกิดโรคและอาการของโรค แต่ทั้ง 4 โรคต้อนั้นหากไม่ได้รับการรักษา ก็สามารถทำให้การมองเห็นแย่ลง หรือหากร้ายแรงอาจทำให้ตาบอดได้
ต้อที่ตาเกิดจากสาเหตุใด
เพราะการเป็นต้อแต่ละประเภทมีสาเหตุที่ต่างกัน ดังนี้
- ตาได้รับแสงยูวีต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน หรือตาสัมผัสกับลม มลภาวะ ความร้อนบ่อย ๆ เป็นสาเหตุของการเกิดโรคต้อลม และโรคต้อเนื้อ
- อายุที่มากขึ้น การได้รับแสงจ้าบ่อย ๆ การสูบบุหรี่ รวมไปถึงโรคประจำตัวบางอย่างเช่น ความดันโลหิตสูง เป็นสาเหตุของการเกิดโรคต้อกระจก
- ภาวะสายตาสั้นมาก ๆ โรคประจำตัวบางอย่าง เช่น เบาหวาน รวมถึงถ้าคนในครอบครัวมีประวัติเป็นต้อหิน ก็มีความเสี่ยงจากโรคต้อหินเพิ่มขึ้น
รู้ทันโรคต้อ 4 ประเภท
1. โรคต้อลม (Pinguecula)
โรคต้อลม คือ โรคต้อประเภทหนึ่งที่เกิดจากดวงตาได้รับรังสียูวีจากแดดต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน รวมถึงการที่ตาต้องสัมผัสถูกมลภาวะเป็นประจำ โดยผู้ที่มีโอกาสเป็นโรคต้อลมคือผู้ที่ต้องทำงานหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นประจำ รวมถึงผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตร้อนเช่นกัน
อาการของต้อลม คือจะมีพังผืดสีขาวเหลืองอยู่บริเวณหัวตาหรือหางตา หากอาการของโรคยังไม่รุนแรงอาจไม่มีความรู้สึกใด ๆ หรืออาจมีอาการบวมแดง เคืองตา และแสบตาได้
2. โรคต้อเนื้อ (Pterygium)
โรคต้อเนื้อ เป็นโรคที่มีสาเหตุเหมือนกับต้อลม คือดวงตาได้รับแสงยูวีต่อเนื่องเป็นเวลานาน และการที่ตาสัมผัสกับมลภาวะเป็นประจำ
อาการของต้อเนื้อจะคล้ายกับต้อลม คืออาจไม่มีอาการใด ๆ หรือมีอาการบวมแดง แสบตา เคืองตาแต่จะแตกต่างจากต้อลมคือจะมีก้อนเนื้อขึ้นบริเวณหัวตาหรือหางตา และเมื่ออาการรุนแรงขึ้นก้อนเนื้อจะค่อย ๆ เข้าตาดำจนทำให้การมองเห็นลดลง หรือก่อให้เกิดสายตาเอียงจากกระจกตาไม่เสมอกันเพราะต้อได้
3. โรคต้อกระจก (Cataract)
โรคต้อกระจก เป็นโรคต้อประเภทหนึ่งที่เกิดจากขุ่นมัวของเลนส์ตา ทำให้แสงเข้าตาได้น้อยลง ดังนั้นการมองเห็นจะมีลักษณะขุ่นมัว เหมือนมีหมอกบัง และอาจมองไม่เห็นเลยเมื่ออยู่ในที่แสงจ้ามาก ๆ สาเหตุเกิดจากการเสื่อมสภาพของเลนส์ตา เมื่ออายุมากขึ้นทำให้เลนส์ตาเสื่อมมากขึ้น หรืออาจมีปัจจัยอื่น ๆ ร่วมเช่นการเกิดอุบัติเหตุที่ตา การได้รับแสงยูวีบ่อย ๆ หรือมีโรคประจำตัวเช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้การมองเห็นภาพมัวมากขึ้น จนในที่สุดอาจนำไปสู่การตาบอดได้
4. โรคต้อหิน (Glaucoma)
โรคต้อหินเกิดจากความดันในลูกตาที่สูงมาก ๆ ลูกตาจะแข็งขึ้นจนไปกดทับประสาทตา สำหรับต้อหินเป็นโรคที่พบได้น้อย แต่มีความอันตรายมาก อาการในระยะแรกของโรคในบางรายอาจไม่มีอาการใด ๆ หรืออาจมีอาการปวดตามาก ตาบวมแดง เกิดการอักเสบ เมื่ออาการของโรครุนแรงขึ้นจะเริ่มสูญเสียลานตา สายตาเริ่มมีจุดบอดหรือ Blind spot การมองเห็นแคบลง และเมื่อจุดนี้ใหญ่ขึ้นจนสูญเสียลานตาไปทั้งหมด ทำให้เกิดตาบอดได้ในที่สุด
อาการต้อแบบใดจึงควรพบแพทย์
เมื่อพูดถึงต้อ สิ่งสำคัญคือต้องทราบสัญญาณและอาการแสดงที่บ่งบอกว่าถึงเวลาต้องไปพบแพทย์ ต้อเป็นภาวะทั่วไปที่ส่งผลต่อเลนส์ธรรมชาติของดวงตา ทำให้ขุ่นมัวหรือขุ่นมัว ซึ่งอาจส่งผลให้มองเห็นไม่ชัด การรับรู้สีลดลง และมองเห็นได้ยากในสภาพแสงน้อย แม้ว่าต้อจะรุกรามอย่างช้าๆ แต่ก็มีอาการหลายอย่างที่ควรไปพบแพทย์โดยด่วน มีดังนี้
- มองเห็นไม่ชัด นี่เป็นสัญญาณแรกของต้อ คุณอาจสังเกตเห็นว่าการมองเห็นของคุณเริ่มพร่ามัว ทำให้อ่านหนังสือ ดูทีวี หรือขับรถได้ยาก
- ความไวต่อแสง ผู้ที่เป็นต้ออาจมีความไวต่อแสงมากขึ้น โดยเฉพาะแสงแดดจ้าหรือแสงประดิษฐ์
- รัศมีรอบดวงไฟ คุณอาจเริ่มเห็นแสงรอบๆ ดวงไฟ โดยเฉพาะในตอนกลางคืน
- มองเห็นได้ยากในเวลากลางคืน ผู้ที่เป็นต้อสามารถทำให้มองเห็นได้ยากขึ้นในสภาพแสงน้อย เช่น เมื่อขับรถในเวลากลางคืน
- สีดูซีดลง คุณอาจสังเกตว่าสีดูสดใสน้อยลงหรือเริ่มจางลง
- การมองเห็นซ้อนทับ ผู้ที่เป็นต้ออาจทำให้เห็นภาพซ้อนหรือหลายภาพ ซึ่งทำให้โฟกัสวัตถุได้ยาก
หากคุณมีอาการเหล่านี้ สิ่งสำคัญคือต้องไปพบแพทย์สายตา พวกเขาสามารถทำการตรวจสายตาอย่างครอบคลุมเพื่อวินิจฉัยต้อและแนะนำทางเลือกการรักษาที่ดีที่สุด อย่ารอจนกว่าการมองเห็นของคุณจะบกพร่องอย่างรุนแรงก่อนที่จะขอความช่วยเหลือ การรับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันความรุนแรงของต้อ และปรับปรุงการมองเห็นโดยรวมของผู้ป่วยเอง
ไม่รักษาต้อได้ไหม
หากปล่อยอาการเป็นต้อไว้ไม่รักษา ต้ออาจทำให้สูญเสียการมองเห็นและอาจทำให้ตาบอดได้ในที่สุด เมื่อต้อพัฒนา ความขุ่นของเลนส์จะหนาแน่นมากขึ้น ทำให้มองเห็นได้ยากขึ้น
ในระยะแรกของการเป็นต้อ คุณอาจสามารถชดเชยการมองเห็นที่เปลี่ยนไปได้ด้วยแว่นตา คอนแทคเลนส์ หรือเลนส์ขยาย อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ต้อรุกรามต่อไปเรื่อยๆ การใช้อุปกรณ์เสริมเหล่านี้อาจไม่ได้ผลในการเสริมการมองเห็นของผู้ป่วยอีกต่อไป
หากคุณยังคงเลื่อนการรักษาเรื่องเป็นต้อออกไป คุณอาจประสบกับผลเสียหลายประการที่อาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของคุณ ตัวอย่างเช่น คุณอาจรู้สึกลำบากในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น อ่านหนังสือ ขับรถ หรือทำงาน นอกจากนี้ คุณยังอาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากการหกล้ม อุบัติเหตุ หรือการบาดเจ็บเนื่องจากการมองเห็นที่ไม่ดี
นอกจากนี้ การเป็นต้อยังสามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรอง เช่น ต้อหิน หรือจอประสาทตาลอก ภาวะเหล่านี้อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นและถึงขั้นตาบอดได้หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา
ดังนั้น สิ่งสำคัญคือต้องไปพบแพทย์หากคุณสงสัยว่าคุณอาจเป็นต้อ จักษุแพทย์สามารถช่วยคุณกำหนดแนวทางการรักษาที่ดีที่สุดเพื่อป้องกันการสูญเสียการมองเห็น
ขั้นตอนการรักษาโรคต้อ
เพราะต้อแต่ละชนิดมีอาการและระดับความรุนแรงของโรคที่ต่างกัน ดังนั้นการรักษาโรคต้อแต่ละชนิดจึงแตกต่างกันไปด้วย สามารถรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัดได้กรณีที่โรคยังไม่มีความรุนแรง หรืออาจพิจารณารักษาแบบผ่าตัดในกรณีที่อาการของโรครุนแรงมากขึ้น
- ต้อลม
เพราะต้อลมเป็นโรคต้อที่มีระดับความรุนแรงของโรคไม่มาก พังผืดที่เกิดจากต้อลมนั้นไม่มีอันตรายต่อดวงตา แต่หากมีอาการเคืองตา อาจใช้ยาหยอดตาเพื่อบรรเทาอาการได้ แต่ทางที่ดีที่สุดควรป้องกันและหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคต้อลม
- ต้อเนื้อ
กรณีของต้อเนื้อ หากก้อนเนื้อที่หัวตาหรือหางตายังไม่เข้าใกล้ตาดำจนทำให้มีปัญหาด้านการมองเห็น อาจป้องกันเพื่อไม่ให้ความรุนแรงของโรคต้อเนื้อมากขึ้น หรือถ้ามีอาการเคืองหรืออักเสบอาจใช้ยาหยอดตาเพื่อบรรเทาอาการได้ แต่หากความรุนแรงของโรคมากขึ้น ก้อนเนื้อลุกลามเข้ากระจกตามาก แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดลอกต้อเนื้อ เพื่อเอาก้อนเนื้อออก
- ต้อกระจก
หากตรวจพบต้อกระจกได้เร็ว อาจทำการรักษาแบบชะลออาการขุ่นมัวของเลนส์ตาได้ด้วยการใช้ยาหยอดตา แต่อย่างไรก็ตามการหยอดตาไม่ได้ช่วยให้ต้อกระจกหายไป ดังนั้นการรักษาต้องกระจกที่ให้ผลดีที่สุดคือการผ่าตัดต้อกระจกออกและใส่เลนส์เทียมแทน
- ต้อหิน
อาจใช้ยาหยอดตาเพื่อลดความดันของลูกตาอย่างสม่ำเสมอ หรืออาจรักษาด้วยการใช้เลเซอร์ผ่าตัด
การดูแลตนเองหลังการผ่าตัดต้อ
เพื่อให้การผ่าตัดรักษาโรคต้อประสบความสำเร็จและไม่มีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้
- หลังผ่าตัดต้อ ต้องปิดตาข้างที่ผ่าตัดไว้ 1-2 วันหรือตามระยะเวลาที่แพทย์แนะนำ ห้ามแกะออกก่อน
- ต้องพบแพทย์ทุกครั้งตามที่แพทย์นัด เพื่อติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
- อาจเช็ดหน้า หรือหลีกเลี่ยงสระผมเองในช่วงหลังผ่าตัด เพื่อป้องกันไม่ให้ตาโดนน้ำ เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงลม ฝุ่นละอองและแสงแดดโดยใส่แว่นกันแดดเมื่ออยู่ที่แจ้ง เพื่อไม่ให้สิ่งเหล่านี้ไปกระตุ้นให้กลับมาเป็นต้อได้อีก
- ห้ามซื้อยาหยอดตาใช้เอง ใช้ยาหยอดตาเฉพาะแพทย์สั่งเท่านั้น
อาหารที่ควรเลี่ยงเมื่อเป็นต้อ
เมื่อเรามีความผิดปกติทางร่างกาย เป็นธรรมดาที่จะมีข้อกำจัดทางด้านการใช้ชีวิต นี้เป็นอาหารส่วนหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อต้อกระจกและสุขภาพโดยรวม หากท่านเป็นผู้ที่ชอบทานอาหารพวกนี้อยู่แล้ว เราขอแนะนำให้งด หรือปรึกษาแพทย์เพื่อข้อคำแนะนำเพิ่มเติม เพื่อป้องกันการรุกลามของอาการเป็นต้อกระจก
- อาหารแปรรูปและอาหารทอด อาหารเหล่านี้มักมีไขมันที่ไม่ดีต่อสุขภาพสูงและสามารถนำไปสู่การอักเสบในร่างกาย ซึ่งอาจทำให้อาการเป็นต้อกระจกรุนแรงขึ้นได้
- เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและขนมหวาน การบริโภคน้ำตาลมากเกินไปอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นและนำไปสู่การอักเสบและความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ซึ่งอาจทำลายดวงตาได้
- แอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์สามารถขัดขวางความสามารถของร่างกายในการดูดซึมสารอาหารที่จำเป็นต่อสุขภาพดวงตา และการบริโภคแอลกอฮอล์มากเกินไปยังอาจนำไปสู่การขาดน้ำ ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพดวงตาได้
- ไขมันทรานส์ ไขมันทรานส์มักพบในอาหารแปรรูปและเป็นที่รู้กันว่ามีส่วนทำให้เกิดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งอาจทำให้อาการเป็นต้อกระจกแย่ลงได้
- เกลือมากเกินไป การบริโภคเกลือมากเกินไปอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำ ซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพดวงตา นอกจากนี้ การบริโภคเกลือมากเกินไปอาจนำไปสู่ความดันโลหิตสูง ซึ่งอาจนำไปสู่การเป็นต้อกระจกได้
- เนื้อแดง การบริโภคเนื้อแดงในปริมาณมากสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดต้อกระจกได้ ให้เลือกโปรตีนไม่ติดมัน เช่น ปลา ไก่ และแหล่งโปรตีนจากพืชแทน
- ผลิตภัณฑ์นมไขมันสูง ผลิตภัณฑ์นมไขมันเต็ม เช่น ชีสและนมสดอาจมีไขมันที่ไม่ดีต่อสุขภาพสูงและมีส่วนทำให้เกิดการอักเสบในร่างกาย เลือกใช้ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำหรือไม่มีไขมันแทน
- อาหารว่างแปรรูป ขนมขบเคี้ยวอย่างมันฝรั่งทอด แครกเกอร์ และคุกกี้มักมีไขมันที่ไม่ดีต่อสุขภาพ โซเดียม และน้ำตาลในปริมาณสูง ซึ่งอาจทำให้เป็นต้อกระจกและสุขภาพดวงตาแย่ลงได้
- คาเฟอีน การบริโภคคาเฟอีนในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำ ซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพดวงตา เป็นการดีที่สุดที่จะจำกัดการบริโภคคาเฟอีนหรือเปลี่ยนไปใช้ตัวเลือกที่ไม่มีคาเฟอีนแทน
- เนยเทียม น้ำมันประเภทนี้มีไขมันทรานส์ที่ไม่ดีต่อสุขภาพสูงและสามารถนำไปสู่การอักเสบในร่างกาย ซึ่งอาจทำให้อาการเป็นต้อกระจกแย่ลงได้
การป้องกันโรคต้อ
โรคต้อบางชนิดอาจไม่รุนแรง แต่ก็อาจทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง หรือหากระดับโรคต้อรุนแรงอาจทำให้ตาบอดได้ ดังนั้นควรจะป้องกันและหลีกเลี่ยงปัจจัยต่าง ๆ เพื่อไม่ไปกระตุ้นให้ตาเป็นต้อ
- ใส่แว่นกันแสงเมื่อออกไปอยู่ในที่โล่งและมีแสงแดด หรืออยู่ในห้องที่มีแสงไฟจ้าเพื่อหลีกเลี่ยงแสงไม่ให้เข้าตา เพราะยูวีจากแสงเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคต้อ
- ใส่แว่นกันลมและฝุ่นละออง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการระคายเคือง หรือการอักเสบ
- พบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ หากเป็นต้อจะได้พบได้เร็ว และการรักษาง่ายขึ้น
- หากเป็นต้ออยู่แล้ว ควรระวังไม่ให้ตาเกิดการอักเสบจนทำให้เป็นต้อหนักขึ้น
เพราะโรคต้อสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ถึงผ่าตัดลอกต้อออกแล้วก็ตาม ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อไม่ไปกระตุ้นให้เกิดโรคต้อซ้ำ
รักษาโรคต้อที่ไหนดี
หากตาเป็นต้อแล้วไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพราะหากไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้อง อาจส่งผลไปถึงการมองเห็น หรือตาบอดได้ ดังนั้นควรเข้ารับการตรวจจากจักษุแพทย์ เพื่อวินิจฉัยโรคต้อ และระดับความรุนแรงของต้อ หากจำเป็นต้องผ่าตัด ควรเลือกสถานพยาบาลที่น่าเชื่อถือ สะอาดและปลอดภัย มีอุปกรณ์ที่ได้คุณภาพ และรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์
ข้อสรุป
เพราะการมีดวงตาที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญ แต่อย่างไรก็ตามด้วยปัจจัยจากวัยที่มากขึ้น หรือปัจจัยอื่น ๆ อาจทำให้เกิดโรคต้อได้ ดังนั้นหากยังไม่เกิดโรคควรดูแลและป้องกันดวงตาเพื่อลดโอกาสการเกิดโรค และควรตรวจสุขภาพตาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ดวงตาของเรานั้นสามารถอยู่กับเราไปได้นาน ๆ