ปัญหาผมร่วงผมบางศีรษะล้าน มักสร้างความกังวลใจให้กับใครหลายคน สร้างความเครียดความไม่มั่นใจ กลายเป็นปมด้อย ทำให้ไม่กล้าเข้าสังคม ยิ่งเครียดผมก็ยิ่งร่วงมากขึ้นอีก ซึ่งปัญหาเหล่านี้พบได้กับทุกเพศทุกวัย ด้วยสาเหตุที่แตกต่างกัน แต่ก็สามารถรักษาได้ด้วยการปลูกผม เพื่อที่จะทำให้ผู้ที่ผมบาง ศีรษะล้านกลับมามีผม เพิ่มความมั่นใจให้แก่ตัวเองอีกครั้ง ก่อนอื่นจะต้องทำความรู้จักก่อนว่าการปลูกผมคืออะไร มีกี่แบบ แต่ละแบบเหมาะกับใครบ้าง หาคำตอบกันได้ในบทความนี้
ปลูกผมคืออะไร? ช่วยให้ผมขึ้นถาวรไหม?
ต้องบอกก่อนว่าการ ปลูกผม มีชื่อเรียกหลายแบบ ทั้งศัลยกรรมปลูกผม หรือการปลูกผมถาวร คือการศัลยกรรมผิวหนังอย่างหนึ่ง เป็นการนำรากผมของตัวเองจากบริเวณที่มีเส้นผมหรือเส้นผมแข็งแรง เช่น ท้ายทอย เหนือกกหู รากผมในบริเวณนี้นอกจากจะมีความแข็งแรงแล้ว ยังไม่เกิดปฏิกิริยากับฮอร์โมน DHT ที่ทำให้เกิดผมร่วง ผมบางอีกด้วย โดยนำไปปลูกยังบริเวณที่ผมบาง ศีรษะล้าน เช่น กลางศีรษะ บนหน้าผาก
รากผมที่นำไปปลูกใหม่จะเจริญเติบโตขึ้น เป็นเส้นผมเส้นใหม่ในบริเวณที่ศีรษะล้าน ซึ่งจะต้องใช้การดูแลอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย จึงจะทำให้เส้นผมกลับมาหนาแข็งแรงขึ้นอีกครั้ง และเส้นผมที่ปลูกขึ้นมาใหม่จะอยู่อย่างคงทนถาวร เมื่อหลุดร่วงไปแล้วก็สามารถงอกขึ้นมาใหม่ได้ เป็นไปตามวงจรของผมอย่างปกติ ดังนั้นเมื่อปลูกผมสำเร็จแล้วก็จะทำให้บริเวณที่เคยหัวเถิก หัวล้านกลับมามีเส้นผมขึ้นได้อีกอย่างถาวรนั่นเอง
เทคนิคปลูกผมแบบ FUT กับ FUE ต่างกันอย่างไร?
ในปัจจุบันการปลูกผมถาวรมีหลากหลายรูปแบบ โดยรูปแบบหลักๆ ที่ได้รับความนิยมในการเลือกปลูกผมคือ เทคนิคปลูกผมแบบ FUT และเทคนิคปลูกผมแบบ FUE ซึ่งทั้งสองเทคนิคจะมีรูปแบบวิธีการปลูกผมที่ไม่เหมือนกัน แต่ให้ผลลัพธ์ที่ดีทั้งคู่ สามารถเลือกได้ตามความสะดวกและความเหมาะสม ที่แตกต่างกันดังนี้
เทคนิคปลูกผมแบบ FUT
เทคนิคปลูกผมแบบ FUT คือการศัลยกรรมปลูกผมถาวร โดยใช้วิธีการย้ายเซลล์รากผมจากบริเวณท้ายทอยหรือเหนือกกหู ไปปลูกใหม่ที่บริเวณกลางศีรษะหรือบนหน้าผาก ด้วยวิธีการตัดศีรษะชั้นบนออก เพื่อรักษาสภาพของเซลล์รากผมให้เสียหายน้อยที่สุด ซึ่งจะช่วยเพิ่มเปอร์เซ็นต์ความสำเร็จของการปลูกผมได้มากขึ้น
วิธีปลูกผมแบบ FUT เป็นวิธีที่มีโอกาสที่จะเห็นผลได้ดีที่สุด และจะเห็นผลอย่างเต็มที่ภายในระยะเวลา 3-4 เดือน เส้นผมในบริเวณที่ศีรษะล้านก็จะกลับมาขึ้นอย่างแข็งแรงอีกครั้ง เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้านจากสาเหตุเซลล์รากผมเสื่อม หรือมีผมที่บริเวณท้ายทอยและเหนือกกหูน้อย ก็สามารถปลูกผมด้วยเทคนิค FUT ได้เช่นกัน
เทคนิคปลูกผมแบบ FUE
เทคนิคปลูกผมแบบ FUE หรือการศัลยกรรมปลูกผมfueถาวร คือการนำเซลล์รากผมจากบริเวณท้ายทอยหรือเหนือกกหู ไปปลูกใหม่ที่บริเวณกลางศีรษะหรือบนหน้าผาก ซึ่งจุดประสงค์จะเหมือนกับการปลูกผมแบบ FUT แต่จะใช้วิธีการที่ต่างกัน
โดยวิธีปลูกผมแบบ FUE จะใช้เครื่องมือเจาะรากผมออกมาแต่ไม่ไปทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียง ทำให้มีแผลขนาดเล็กมาก แล้วนำเซลล์รากผมที่ได้มาไปปลูกทีละกราฟท์ตามตำแหน่งและทิศทางที่ต้องการ การปลูกผมแบบ FUE เหมาะกับผู้ที่ผมบาง ศีรษะล้านทุกรูปแบบ แต่จะต้องมีเส้นผมบริเวณท้ายทอยหรือเหนือกกหูที่เพียงพ่อต่อการนำไปปลูกใหม่
นอกจากนี้ เทคนิคปลูกผมแบบ FUE ยังมีเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า Long Hair FUE และ ปลูกผมแบบ DHI ที่ต่อยอดเทคโนโลยีมาจากการปลูกผมแบบ FUE มีข้อแตกต่างเพิ่มเติมดังนี้
- เทคนิคปลูกผมแบบ Long Hair FUE คือวิธีปลูกผมที่ใช้เทคนิคเดียวกันกับการปลูกผมแบบ FUE ซึ่งปกติผู้ที่จะปลูกผมต้องโกนหรือตัดผมให้สั้นก่อนจึงจะปลูกผมได้ แต่วิธีปลูกผมแบบ Long Hair FUE มีเครื่องมือที่สามารถเจาะและดึงรากผมออกมาในขณะที่ผมยังยาวอยู่ได้เลย ทำให้เมื่อปลูกผมเสร็จสามารถเห็นผลได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้ผมกลับมายาว
- เทคนิคปลูกผมแบบ DHI คือวิธีปลูกผมที่ใช้เทคนิคเดียวกันกับการปลูกผมแบบ FUE โดยมีความแตกต่างกันในเรื่องของเครื่องมือที่ทันสมัยกว่า ซึ่งจะให้เป็นปากกาปลูกผม (Implanter) แทนการใช้เครื่องมือเจาะแล้วใช้คีมหนีบ ทำให้เกิดความระคายเคืองน้อยกว่าวิธีปลูกผมแบบ FUE
ข้อดีของการปลูกผม
รู้จักกับเทคนิคการปลูกผมแต่ละประเภทไปแล้ว คราวนี้มาดูข้อดีของวิธีปลูกผมแต่ละแบบกันบ้างว่ามีจุดเด่นที่แตกต่างกันอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะช่วยในการตัดสินใจให้แก่ผู้ที่อยากจะปลูกผม แต่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกวิธีไหนดี โดยแต่ละเทคนิคการปลูกผมมีข้อดีดังนี้
- ข้อดีของการปลูกผมแบบ FUT คือเซลล์รากผมที่ได้จากการผ่าตัดหนังศีรษะจะอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงที่สุด ได้เซลล์รากผมจำนวนมากจากการทำครั้งเดียว เมื่อนำไปปลูกในบริเวณที่ต้องการ เซลล์รากผมจะค่อยๆ ยึดเกาะและสมานเข้าไปในหนังศีรษะ การปลูกผมแบบ FUT จึงเป็นวิธีปลูกผมที่เห็นผลลัพธ์ดีที่สุด มีผลข้างเคียงต่ำ โอกาสติดเชื้อน้อย และราคาไม่แพงมาก
- ข้อดีของการปลูกผมแบบ FUE คือการนำเซลล์รากผมออกมาโดยไม่ต้องผ่าตัดให้เป็นแผลใหญ่ ใช้เพียงเครื่องมือเจาะรูขนาดเล็ก ทำให้มีแผลประมาณ 0.8-0.95 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นแผลขนาดเล็กมาก เมื่อร่างกายฟื้นตัวแผลก็จะสมานจนมองไม่เห็น นอกจากนี้ยังสามารถกำหนดทิศทางของเส้นผมได้ ทำให้เส้นผมที่ขึ้นมาใหม่จะมีการเรียงตัวและทิศทางที่สวยงาม
- ข้อดีของการปลูกผมแบบ Long Hair FUE คือการนำเซลล์รากผมออกมาโดยไม่ต้องผ่าตัดให้เป็นแผลใหญ่ เหมือนกับการปลูกผมแบบ FUE โดยใช้เครื่องมือเจาะพิเศษที่ทำให้ผู้ที่มาปลูกผมไม่จำเป็นต้องตัดผมให้สั้นหรือโกนผมก่อนรักษา สามารถไว้ผมยาวได้เลย เมื่อปลูกผมเสร็จก็จะเห็นความสวยงามของเส้นผมที่ขึ้นมาใหม่ได้ในทันที
- ข้อดีของการปลูกผมแบบ DHI คือการนำเซลล์รากผมออกมาโดยไม่ต้องผ่าตัดให้เป็นแผลใหญ่ เหมือนกับการปลูกผมแบบ FUE แต่จะมีลักษณะพิเศษกว่าตรงที่จะใช้ปากกาปลูกผม เป็นเครื่องมือในการย้ายเซลล์รากผมไปปลูกใหม่ แทนที่คีมหนีบและเครื่องมือเจาะแบบเดิม ทำให้เกิดแผลที่เล็กกว่าประมาณ 0.6 – 0.8 มิลลิเมตร ผู้ป่วยเจ็บน้อยลงและพักฟื้นได้เร็วขึ้น นอกจากนี้บริเวณที่ปลูกผมขึ้นมาใหม่สามารถปลูกผมได้ถี่ขึ้น เพิ่มความหนาของผมได้มากขึ้นอีกด้วย
ข้อเสียและข้อควรระวังของการปลูกผม
เมื่อรู้ข้อดีของการปลูกผมแต่ละชนิดแล้ว ยังต้องรู้ถึงข้อเสียและข้อควรระวังของวิธีปลูกผมแต่ละแบบด้วย เพื่อเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเลือกวิธีปลูกผมที่เหมาะกับตนเองได้ดียิ่งขึ้น โดยในแต่ละเทคนิคการปลูกผมก็จะมีข้อเสียแตกต่างกันไปดังนี้
- ข้อเสียและข้อควรระวังของการปลูกผมแบบ FUT คือการตัดผิวหนังส่วนหนึ่งออกไป เมื่อเย็บแผลแล้วจะเกิดแผลเป็นขนาดใหญ่บริเวณหลังศีรษะ หรือท้ายทอย ทำให้หนังศีรษะตึง และต้องใช้ระยะเวลาพักฟื้นเป็นเวลานาน เนื่องจากแผลผ่าตัดที่มีขนาดใหญ่ นอกจากนี้ถ้าหากไว้ผมสั้นก็จะทำให้มองเห็นแผลเป็นด้านหลังศีรษะได้ง่ายอีกด้วย
- ข้อเสียและข้อควรระวังของการปลูกผมแบบ FUE คือการย้ายเซลล์รากผมจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง ถ้าหากผู้ป่วยมีผมที่ท้ายทอยหรือเหนือกกหูน้อยเกินไป ทำให้ไม่เพียงพอต่อการนำไปปลูกใหม่ ผมที่ปลูกขึ้นมาใหม่ก็จะดูบาง ส่วนผมท้ายทอยและเหนือกกหูก็จะไม่หนาเท่าเดิม นอกจากนี้วิธีปลูกผมแบบ FUE อาจทำให้เซลล์รากผมบางส่วนที่ถูกดึงออกมาไม่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ เนื่องจากอาจเกิดความเสียหายระหว่างที่ถูกดึงหรือถูกคีมหนีบก่อนนำลงไปปลูกใหม่ ทำให้ผลลัพธ์อาจไม่ดีเท่าการปลูกผมแบบ FUT และที่สำคัญการปลูกผมแบบ FUE มีราคาที่ค่อนข้างสูง โดยเริ่มต้นอยู่ที่ 30,000 บาท ราคาจะเพิ่มขึ้นตามปริมาณกราฟท์ที่ใช้ในการปลูกผม
- ข้อเสียและข้อควรระวังของการปลูกผมแบบ Long Hair FUE คือการสูญเสียผมจากการย้ายเซลล์รากผมจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง เช่นเดียวกับการปลูกผมแบบ FUE เพิ่มเติมคือใช้เวลาปลูกผมค่อนข้างนานประมาณ 6 ชั่วโมง และได้ผลลัพธ์ไม่ดีเท่าวิธีปลูกผมแบบ FUE ที่ต้องโกนผม เนื่องจากเส้นผมที่ยาวทำให้เก็บกราฟท์ได้น้อยกว่า ทำให้ผมอาจขึ้นได้ไม่หนาแน่นเท่าวิธีอื่น นอกจากนี้เส้นผมที่ปลูกขึ้นมาใหม่ แม้ว่าจะมีผมยาวที่สวยงามแต่หลังจากนั้น 1 เดือน เส้นผมที่ปลูกใหม่ก็จะร่วงไปตามวงจรผม เช่นเดียวกับการปลูกผมแบบ FUE ส่วนเส้นผมที่งอกขึ้นมาใหม่ก็จะยังสั้นอยู่เช่นเดิม
- ข้อเสียและข้อควรระวังของการปลูกผมแบบ DHI คือการสูญเสียผมจากการย้ายเซลล์รากผมจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง เหมือนกับการปลูกผมแบบ FUE ส่วนข้อควรระวังจะต้องศึกษาดูว่าคลินิกแต่ละแห่งนำเทคนิคปลูกผมแบบ DHI ด้วยปากกาปลูกผมไปรวมอยู่กับเทคนิคปลูกผมแบบ FUE หรือไม่ บางคลินิกอาจจะแยกออกมาทำให้ดูเหมือนการปลูกผมแบบ DHI เป็นเทคโนโลยีใหม่แล้วคิดราคาเพิ่ม เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับคลินิกที่ไม่ได้แยกระหว่างเทคนิค FUE กับ DHI อาจจะทำให้มีราคาที่ต่างกันทั้งที่ได้วิธีปลูกผมเหมือนกัน จึงควรเปรียบเทียบให้ดีก่อนตัดสินใจใช้บริการ
สรุป
การตัดสินใจปลูกผมนับได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีในการเพิ่มความมั่นใจให้กับตนเอง เมื่อมีเส้นผมที่หนาและดูดีก็ยังเป็นการเพิ่มโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิต ผู้ที่ประสบปัญหาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้านสามารถเลือกวิธีการปลูกผมได้ตามความเหมาะสมของสภาพเส้นผม และความสะดวกได้จากการศึกษาเทคนิควิธีปลูกผม หรือข้อดี ข้อเสียของการปลูกผมแต่ละชนิดที่เรานำมาเปรียบเทียบกันไว้ให้แล้ว
แต่อย่างไรก็ตามก่อนที่จะตัดสินใจที่จะปลูกผม ควรศึกษาเลือกหาคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกผม เพราะถ้าหากไปใช้บริการปลูกผมกับแพทย์ที่ไม่เชี่ยวชาญ อาจทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ นอกจากนี้การดูแลตัวเองหลังปลูกผมก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นเดียวกัน เมื่อปลูกผมเสร็จแล้วควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อผลลัพธ์ที่ดีของการปลูกผม และที่สำคัญต้องใช้วิธีดูแลเส้นผมอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย จึงจะทำให้เส้นผมกลับมาแข็งแรงงอกยาวสวยงาม ผมกลับมาหนาอีกครั้ง