สิวอักเสบเป็นสิวที่สร้างปัญหาบนใบหน้าอย่างร้ายแรง ลดทอนความสวยงามบนใบหน้าลง ทำให้คุณไม่มั่นใจ หรือรำคาญจนต้องกดสิว เพื่อบ่มเอาหนองออก ทำให้สิวอักเสบสกปรก ติดเชื้อ ยิ่งกระตุ้นทำให้เกิดการอักเสบ และขยายวงกว้างเข้าไปใหญ่
สิวอักเสบใต้ผิวหนังจะทำให้เกิดอาการบวม แดง เป็นหนอง สร้างความเจ็บปวดและทรมาน อาจขยายวงกว้างจนทำให้เกิดสิวฝี, สิวหัวช้าง ก้อนโต ที่ทำร้ายจิตใจ ทำให้คุณหมดความมั่นใจ คุณจึงควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการรักษา สิวอักเสบอย่างเร่งด่วน
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญมีวิธีรักษาที่ช่วยลดสิวอักเสบ ด้วยวิธีทางการแพทย์ที่มีความปลอดภัย ทันสมัย สะดวก รวดเร็ว ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าอาการสิวอักเสบของคุณจะดีขึ้น และไม่เป็นแผลเป็น ถ้ารักษาทันเวลา เพราะฉะนั้นอย่าปล่อยสิวอักเสบไว้นาน รีบรักษาเพื่อลดโอกาสการเกิดแผลเป็นที่ไม่สวยงาม
ทำความรู้จัก สิวอักเสบ
สิวอักเสบ (Inflammatory Acne) คือ อาการหนึ่งของสิว ที่ถูกพัฒนาความรุนแรงจากสิวอุดตัน เกิดการอักเสบบริเวณรูขุมขนและต่อมไขมันใต้ผิวหนัง มีลักษณะเป็นถุงอยู่ใต้ผิวหนัง จนเกิดอาการทำให้เกิดสิวอักเสบที่แก้มลักษณะต่าง ๆ
และทำให้รู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัสบริเวณสิวและบริเวณโดยรอบ เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น รูขุมขนอุดตัน และกรรมพันธุ์ รวมถึงสภาวะฮอร์โมนในร่างกายที่เปลี่ยนแปลง
ลักษณะของสิวอักเสบ
บริเวณที่เกิดสิวอักเสบ คือ รูขุมขน (follicles) และต่อมไขมัน (sebaceous gland) โดยมีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดง หรือตุ่มหนอง ที่แตกต่างกันตามระดับความรุนแรง ตั้งแต่ตุ่มเล็กไปจนถึงตุ่มที่มีขนาดใหญ่ มีอาการอักเสบน้อยถึงมาก มีหนองสีเหลืองนวลอยู่เหนือตุ่ม มีอาการอักเสบที่ผิวหนังชั้นที่ลึกลงไป หรือมีลักษณะสิวอักเสบแดงเป็นก้อน มีถุงหนอง ฝี เมื่อสัมผัสจะเกิดความเจ็บปวด
สาเหตุการเกิดสิวอักเสบ
สาเหตุที่ทำให้เกิดสิวอักเสบเมีทั้งเกิดจากการทำงานของร่างกาย และวิถีการดำเนินชีวิตในประจำวัน โดยมีสาเหตุดังต่อไปนี้
- ฮอร์โมน
โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนช่วงวัยรุ่น โดยเฉพาะเพศชาย ซึ่งทำให้ปริมาณฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวอักเสบ เมื่อฮอร์โมน androgen ไปกระตุ้นต่อมไขมันจะทำให้ผลิตน้ำมันออกมามากกว่าปกติ ทำให้มีความมันบนใบหน้ามากขึ้น รูขุมขนกว้าง เกิดปัญหาสิวอักเสบบวมแดงและสิวอุดตัน
- พันธุกรรม
หากสมาชิกในครอบครัวมีประวัติการเป็นสิวอักเสบ ก็ทำให้ลูกมีโอกาสเป็นสิวอักเสบได้เหมือนกัน เพราะสภาพผิวที่มัน รูขุมขนกว้าง ผิวหยาบ ทำให้สิ่งสปรกสะสมง่ายจนเกิดสิวอักเสบ
- เครื่องสำอาง
การแต่งหน้าก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวอักเสบได้เหมือนกัน หากคุณเป็นสิวง่าย ควรใช้เครื่องสำอางที่จำเป็นจริง ๆ และปราศจากน้ำมัน (oli-free) เพื่อลดอาการการสะสมของไขมัน จนทำให้เกิดสิวอุดตันหรือสิวอักเสบที่คางได้
- แบคทีเรีย
ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป จนทำให้เชื้อแบคทีเรีย P.acne เจริญเติบโตได้ดี อยู่ในตุ่มสิว โดย P.acnes จะดึงดูดเม็ดเลือดขาวเข้ามาในตุ่มสิว แล้วกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ กลายเป็นสิวอักเสบใต้ผิวหนัง และยังมีเอนไซม์ช่วยย่อยน้ำมัน (Sebum) ทำให้ตุ่มสิวกลายเป็นไขมันที่เพิ่มการกระตุ้นการอักเสบอีกด้วย
- อาหาร
การรับประทานอาหารทอด มัน ของหวาน ช็อกโกแลต ฯลฯ เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวอักเสบ หากต้องการให้สิวลดลง ควรหลีกเลี่ยงอาหารดังกล่าว
ประเภทของสิวอักเสบ
เมื่อรู้ว่าสิวอักเสบ เกิดจากอะไรแล้ว คุณคงอยากรู้ว่าสิวอักเสบมีกี่แบบ ซึ่งแต่ละแบบนั้นก็มีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งสิวอักเสบมี 5 ประเภท ดังนี้
1. สิวตุ่มแดง (Papule)
หรือสิวอักเสบไม่มีหัว เกิดจากสิวอุดตัน มีลักษณะเป็นตุ่มแดง ก้อนแข็งนูน เจ็บ ขนาดไม่เกิน 0.5 ซม. มีอาการรุนแรงน้อยที่สุด
2. สิวหัวหนอง (Pustule)
มีลักษณะสิวแดงเป็นตุ่ม บนตุ่มมีหนองสีเหลือง ทำให้ปวด เป็นสิวที่อักเสบกว่าสิวแดงๆ ไม่มีหัว เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียอื่นแทรกซ้อนบริเวณตุ่มเหงื่อและรูขุมขน
3. สิวตุ่มแดงขนาดใหญ่ (Nodule)
เกิดจากการบีบสิวประเภทสิวตุ่มแดง แล้วเกิดการอักเสบ ทำให้แบคทีเรียและน้ำมันใต้ตุ่มสิวแตกกระจายอยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดตุ่มแดงขนาดใหญ่ เจ็บปวดค่อนข้างมาก
4. สิวหัวช้าง (Acne Conglobata)
เป็นสิวอักเสบที่รุนแรงมาก เกิดจากการอักเสบของสิวที่หนาแน่น นูน บวม แดง มีหนองอย่างเห็นได้ชัด สิวหัวช้าง รักษาได้ยากกว่าสิวชนิดอื่น ๆ และหากไม่ได้รักษาอย่างถูกวิธี อาจกลายเป็นแผลหรือหลุมสิวถาวร
5. สิวซีสต์ (Acne Cyst)
ตุ่มสิวขนาดใหญ่คล้ายฝี เป็นสิวอักเสบไม่มีหัวบวมแดง พบได้น้อย เกิดจากถุงน้ำใต้ผิวหนังเกิดการอักเสบ เป็นหนองอักเสบอยู่ภายใน ถึงแม้จะรักษาสิวอักเสบไม่มีหัวจนยุบแล้ว แต่หลังจากนั้นจะกลายเป็นก้อนนูนแข็งหรือหลุมสิวขนาดใหญ่
บริเวณไหนที่สิวอักเสบสามารถขึ้นได้
สิวอักเสบมีกี่แบบ เกิดขึ้นบริเวณไหนบ้าง เราพบบริเวณที่เกิดสิวที่ไม่ใช่แค่บนใบหน้า ดังนี้
- สิวอักเสบบนใบหน้า
- สิวอักเสบบริเวณคาง
- สิวอักเสบบนหน้าผาก
- สิวอักเสบบริเวณหน้าอก
- สิวอักเสบที่หลังจนถึงหลังส่วนบน
- สิวอักเสบที่ ไหล่ คอ และต้นแขน
สิวอักเสบที่ควรพบแพทย์
เมื่อเกิดอาการสิวอักเสบคุณจะเจ็บปวดทรมาน สิวลุกลามจนกระจายทั่วไปใบหน้า จนทำให้คุณเกิดความประหม่า ไม่มั่นใจ ทำให้ผิวหนังถูกทำลาย และกลายเป็นแผลเป็น การพบแพทย์เพื่อรักษาอาการดังกล่าวจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะแพทย์จะรู้ว่าสิวอักเสบมีกี่แบบ และควรจะรักษาด้วยวิธีไหน ทั้งนี้การรักษาสิวอักเสบต้องใช้เวลานานนับเดือน หากปล่อยนานไปจะรักษายากกว่าตอนที่เริ่มเป็น
วิธีรักษาสิวอักเสบ
วิธีรักษาสิวอักเสบมีหลายวิธี ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยจากการซักประวัติและพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของคุณ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่คุณใช้ นำมาประกอบการรักษา โดยมีวิธีดังนี้
1. กินยารักษาสิวอักเสบ
หากสิวอักเสบมีอาการรุนแรงมาก แพทย์จะรักษาด้วยการให้ทานยาสิวอักเสบ หากการทายาบริเวณผิวภายนอกอาจไม่เพียงพอ เพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรีย และลดอาการอักเสบ ทำให้สิวยุบตัวลง
2. ทายารักษาสิวอักเสบ
สิวอักเสบ รักษาด้วยการทายาบริเวณผิวภายนอก ด้วยครีม โลชั่น หรือน้ำยารักษาสิว เช่น ยาที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ, ยาปฏิชีวะนะแต้มสิว Clindamycin, ยา Benzoyl Peoxide และยาที่มีส่วนผสมของ Salicylic acid
3. กดสิวอักเสบ
แพทย์จะให้คนไข้ล้างหน้า แล้วทำการรักษากดสิวอักเสบหัวแข็ง โดยหลีกเลี่ยงการกดสิวเม็ดใหญ่ไม่มีหัว โดยใช้เครื่องมือกดสิวที่เป็นเครื่องมือเฉพาะ ชุบน้ำเกลือ ทาบริเวณที่กด เพื่อระบายหนองออกมา และทายาปฏิชีวนะต่อไป
4. ฉีดสิวอักเสบ
แพทย์จะฉีดมาเด้ คอลลาเจน (Made Collagen) ยาเมโสหน้าใส เพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพผิว ลดอาการผิวอักเสบ ลดผื่นแพ้ และขับสารพิษที่ตกค้างอยู่ภายใน
5. ติดแผ่นแปะดูดสิว
ใช้เพียงแปะลงบนสิวอักเสบในตอนกลางคืน แผ่นดูดสิวจะดูดเม็ดสิวหรือหนองออกมาจากผิวหนัง เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกต่อการใช้งาน
6. ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า
การรักษาสิวที่เหมาะกับปัญหาสิวปานกลาง สามารถรักษาได้ มีส่วนผสมของ กรดไฮดรอกซี (Hydroxy Acid) หรือ AHA และกรดเบต้าไฮดรอกซี (Beta Hydroxy Acid) หรือ BHA ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดการเกิดสิวอุดตัน ช่วยกระชับรูขุมขน ทำให้ผิวดูใสกระจ่าง
7. เลเซอร์รักษาสิว
แพทย์จะใช้เลเซอร์ลบรอยสิวอักเสบ เช่น Pulsed dye laser หรือ Nd:YAG ตลอดจนใช้แสงที่มีความเข้มข้นสูงฆ่าเชื้อเพื่อลดอาการอักเสบ อาทิเช่น Blue light Therapy เป็นต้น
แนวทางดูแลตัวเองเมื่อเป็นสิวอักเสบ
การปรึกษาแพทย์เป็นวิธีที่จะช่วยให้คุณได้รักษาสิวอักเสบได้อย่างถูกต้อง และเพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพ คุณจึงควรดูแลตัวเองและปฏิบัติตามแนวทาง ดังนี้
- ควรล้างหน้าให้สะอาดวันละ 1 – 2 ครั้ง ด้วยสบู่อ่อน ไม่มีส่วนผสมของสารเคมี
- งดใช้เครื่องสำอาง หรือการแต่งหน้า และหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดสิว และควรล้างหน้าก่อนเข้านอน
- รับประทานผักและผลไม้ รวมถึงอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดการอักเสบ
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 6 – 8 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้เกิดสิวอักเสบ
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ควรรับประทานยาด้วยตัวเอง เพราะอาจเกิดอาการแพ้ยาได้
ป้องกันอย่างไรไม่ให้เกิดสิวอักเสบ
สิวอักเสบสามารถป้องกันได้ เพียงคุณดูแลตัวเองด้วยการรักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ ด้วยวิธีดังนี้
- ใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิวในการทำความสะอาดใบหน้า และล้างเครื่องสำอางก่อนทาครีมบำรุง
- รักษาความสะอาดของเส้นผม ไม่ให้ความมันจากเส้นผมโดนใบหน้าจนทำให้เกิดสิวได้
- ทำความสะอาดสิ่งแวดล้อมโดยรอบ เช่น ผ้าปูที่นอน หมอน ผ้าห่ม เนื่องจากเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียทำให้เกิดสิวได้
- หลีกเลี่ยงแสงแดง หรือทาครีมกันแดด
- บำรุงผิวด้วยการดื่มน้ำมาก ๆ และทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักและผลไม้ วิตามินเสริมอาหาร รวมถึงการพบแพทย์เพื่อฉีดวิตามินบำรุงผิว
รักษาสิวอักเสบที่ไหนดี
การเลือกคลินิกรักษาสิวอักเสบ เพื่อแก้ไขปัญหาสิวอักเสบที่เกิดขึ้น ควรเลือกรักษาสิวอักเสบที่ไหนดี ที่มีรายละเอียดราคาและแผนการรักษาชัดเจน ให้การรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ที่พร้อมจะให้คำปรึกษา มีอุปกรณ์ที่ทันสมัย สถานพยาบาลมีความสะอาด เดินทางสะดวก สามารถรักษาได้หลายรูปแบบ เพื่อการรักษาที่ดีที่สุด
คำถามที่พบบ่อย
คำถามยอดฮิตที่ผู้ประสบปัญหาสิวอักเสบต้องการคำตอบ มีหลากหลายคำถาม ดังนี้
สิวอักเสบบีบได้ไหม
คุณไม่ควรบีบสิวอักเสบด้วยตัวเอง เพราะจะทำให้แบคทีเรียในหนองกระจายออกตามผิวหนัง เสี่ยงติดเชื้อมากกว่าเดิม
สิวอักเสบหายเองได้ไหม
สามารถหายเองได้ในบางราย หากรู้วิธีดูแลรักษาเป็นอย่างดี แต่หากปล่อยทิ้งไว้จะไม่หาย และทำลายผิวหนังทำให้เกิดรอยแผล หลุมสิว รักษายาก
สิวอักเสบ กี่วันหาย
ระยะเวลาขึ้นอยู่กับสภาพความรุนแรง สิวอักเสบที่มีอาการไม่มาก จะรักษาหายดีขึ้นภายในหนึ่งสัปดาห์ แต่หากสิวอักเสบรุนแรง ร่วมกับสิวอุดตัน จะใช้เวลารักษานับเดือน
เป็นสิวอักเสบใช้สกินแคร์ ทาครีมกันแดดได้ไหม
สามารถใช้ครีมกันแดดได้ แต่ควรเลือกครีมกันแดดที่ไม่มีสารเคมี และไม่ทำให้ระคายเคือง เพื่อลดการเกิด สิวอักเสบและสิวอุดตัน
ข้อสรุป
สิวอักเสบสามารถรักษาได้ เพียงคุณปรึกษาแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญเพื่อรักษาอาการของสิวอักเสบของคุณ แพทย์จะพิจารณาให้ยาทา ยารับประทาน รวมถึงการฉีดวิตามินบำรุง และฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เพื่อให้สิวอักเสบหายไป ซึ่งต้องใช้เวลา คุณจึงควรรีบรักษาอาการสิวอักเสบตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะถ้าหากปล่อยทิ้งไว้จนกระจายทั่วใบหน้า จะทำให้รักษายาก กลายเป็นแผลเป็น และหลุมสิวถาวรในที่สุด