สิวที่หลัง ปัญหาที่ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป โดยเฉพาะกับสาว ๆ

ปัญหาใหญ่สำหรับสาว ๆ ที่ชอบแต่งตัว และชอบตามแฟชั่น ก็คือ สิว โดยเฉพาะสิวที่หลัง หรือสิวที่หน้าอก เพราะถึงแม้จะรักษาได้ แต่สิวที่เกิดบนลำตัวมักจะหายช้ากว่าสิวที่เกิดบนใบหน้า จึงมักสร้างความหนักใจ ลดความมั่นใจของสาว ๆ และทำให้ไม่กล้าอวดผิวสวย ๆ

แต่ว่าทุกปัญหาสิวไม่ว่าจะเป็นสิวแบบใด หรือเป็นสิวที่หลัง ก็สามารถรักษาให้หายได้ถ้ารู้สาเหตุสิวที่หลังเกิดจากอะไร ก็จะได้เลือกวิธีการรักษาที่ถูกต้อง เหมาะสมกับชนิดสิว และความรุนแรงของสิวนั้น ๆ

สิวที่หลัง ปัญหาที่ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป โดยเฉพาะกับสาว ๆ

สิวที่หลัง

สิวที่หลังจะคล้าย ๆ กับสิวที่ใบหน้า และสิวฮอร์โมน มีสาเหตุการเกิดสิวที่เหมือน ๆ กัน คือมีการอุดตันในรูขุมขน ที่มาจากน้ำมัน เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว แบคทีเรีย สิ่งสกปรกในรูขุมขน และเหงื่อ เป็นต้น

สำหรับสิวที่หลังนั้น มีโอกาสเกิดสูงในคนที่ออกกำลังกายอย่างหนัก แล้วปล่อยให้คราบเหงื่ออยู่บนแผ่นหลังเป็นเวลานานทำให้สิ่งสกปรกจากเหงื่อไปอุดตันรูขุมขน จนเกิดการอักเสบและกลายเป็นสิวในที่สุด 

สิวที่หลัง

สิวที่หลังเกิดจากอะไร

สิวที่หลังเกิดจากการที่น้ำมัน (Sebum) ที่ผลิตจากต่อมน้ำมันที่อยู่ใต้รูขุมขนไปอุดตันรูขุมขนพร้อมกับเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว จนทำให้เกิดการอักเสบแล้วเกิดเป็นสิวขึ้น มีอาการบวมแดงเป็นหนอง มีอยู่หลายสาเหตุที่เป็นตัวการทำให้เกิดเป็นสิวที่หลังได้ เช่น

  • ภาวะความเครียด เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวที่หลัง รวมไปถึงสิวบริเวณอื่น ๆ ได้
  • ยา เช่น ยารักษาอาการซึมเศร้า ทำให้เกิดผลข้างเคียงได้
  • เหงื่อ เมื่อสัมผัสกับแสงแดดแรง ๆ หรือสวมเสื้อผ้าที่คับไม่พอดีกับรูปร่าง ทำให้เหงื่อออกจนทำให้สิวรุนแรงขึ้น
  • ฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงมักทำให้เกิดสิว เช่น ช่วงวัยรุ่น ช่วงรอบเดือน หรือ ช่วงตั้งครรภ์ 
  • อาหาร เช่นอาหารจำพวกทอด หรือ พวกคาร์โบไฮเดรต ที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ที่เป็นสาเหตุการเกิดสิว
  • กรรมพันธุ์ มีความเป็นไปได้ที่จะส่งผ่านมาจากครอบครัว หากพบว่ามีสมาชิกเคยมีปัญหาสิวชนิดรุนแรงมาก่อน
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนผสมหลักเป็นน้ำมัน ทำให้มีน้ำมันส่วนเกินมาทำให้เกิดสิวอุดตันที่หลังเพิ่มขึ้น

สิวที่หลัง มีรูปแบบไหนบ้าง

สิวที่หลังมีอยู่หลายรูปแบบ และทุก ๆ แบบนั้นเกิดจากการที่รูขุมขนอักเสบหรืออุดตัน เพียงแต่สาเหตุและอาการอาจมีความแตกต่างกัน จึงทำให้วิธีรักษามีความแตกต่างกันบ้าง ดังนั้นการรู้ถึงประเภทสิวที่หลังที่เป็นอยู่ก็จะช่วยให้หาวิธีรักษาได้อย่างเหมาะสม  สิวแต่ละประเภทจะมีลักษณะดังต่อไปนี้

สิวที่หลัง มีรูปแบบไหนบ้าง

สิวอุดตันหัวขาว (Whiteheads)

เป็นสิวที่หลัง ที่มีลักษณะ คือ เป็นสิวอุดตันหัวปิด เกิดจากการที่หัวสิวอุดตันอยู่ใต้ผิวหนังได้เติบโตขึ้นเป็นเม็ดตุ่มหัวสิวสีขาว ไม่ควรบีบเพราะอาจอักเสบได้

สิวหัวดำ (Blackhead)

สิวหัวดำ เป็นสิวอุดตันหัวเปิด เกิดจากการที่รูขุมขนมีการอุดตันบริเวณผิวหนัง ทำให้เกิดเป็นตุ่มนูนเล็ก ๆ มีหัวสิวสีดำที่เกิดจากไขมันทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ

สิวตุ่มแดง (Papule)

สิวตุ่มแดง เป็นสิวที่มีลักษณะ คือ เป็นการอักเสบจากการที่แบคทีเรียอุดตันรูขุมขน มีสีชมพูขนาดเล็ก ไม่มีหัวสิว สิวประเภทนี้จะไวมากต่อการสัมผัส  ดังนั้นจึงไม่ควรดึงหรือบีบเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรง

สิวหัวหนอง (Pustule)

สิวหัวหนองเป็นสิวอุดตันที่มีการติดเชื้อ มีหัวสิวเป็นหนองสีขาวหรือสีเหลืองและมีอาการแดง ๆ บริเวณรอบหัวสิว  ดังนั้นไม่ควรบีบหรือกดเพราะอาจกลายเป็นแผลเป็นหรือจุดด่างดำได้ในเวลาต่อมา

สิวอักเสบแดงแบบก้อนลึก (Nodules)

สิวชนิดนี้ลักษณะของมัน คือ สิวประเภทนี้จะเติบโตเป็นก้อนขนาดใหญ่ แข็ง และอักเสบอยู่ใต้ผิวหนังได้ เต็มไปด้วยหนองปนเลือด โดยมากจะมีรู้สึกเจ็บหรือปวดรวมอยู่ด้วย และอาจกลายเป็นหลุมสิวได้ในอนาคต

สิวหัวช้าง (Nodulocystic acne)

เป็นสิวอุดตันที่มีการติดเชื้อขนาดใหญ่ มีหนองอยู่บนหัวสิว ลักษณะเป็นตุ่มบวมแดง หัวสิวมีสีขาวหรือสีเหลืองชัดเจน รู้สึกเจ็บหรือปวดร่วมด้วย สิวประเภทนี้เป็นชนิดรุนแรง ที่สามารถก่อให้เกิดแผลเป็นได้ จึงไม่ควรกดหรือบีบเด็ดขาด เป็นสิวที่หลังที่ค่อนข้างรักษาได้ยาก

วิธีรักษาสิวที่หลัง

หากว่าปัญหาสิวที่หลังไม่รุนแรง จนเกิดรอยแผลเป็น รอยดำ รอยแดง หรือทิ้งหลุมสิวไว้บนผิวหนัง เมื่อหายแล้ว ก็ยังสามารถดูแลรักษาตัวเองได้โดยไม่ต้องไปหาแพทย์ผิวหนัง

เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้มีปัญหาเกี่ยวกับรอยสิวที่หลัง เราก็ควรที่จะทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ งดอาหารรสจัด หรืออาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง หลีกเลี่ยงคภาวะอารมณ์เครียด และควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รักษาสุขอนามัยให้สะอาดตชลอดเวลา ไม่ควรแต่งกายด้วยเครื่องกายที่รัดรูปเกิน และพยายามไม่อยู่ในสถานที่ที่มีแสงแดดแรง อากาศร้อนเกิน

อีกทั้งการที่จะตัดสินใจเลือกวิธีรักษาสิวนั้นก็ขึ้นกับชนิดและความรุนแรงของสิวชนิดนั้น ๆ อีกด้วย  หากไม่แน่ใจว่าเป็นสิวชนิดไหน เกิดจากอะไร ก็ควรที่จะปรึกษาแพทย์ผิวหนังที่เชี่ยวชาญ เพื่อวินิจฉัยและทำการรักษาสิวที่หลังให้หาย วิธีหลัก ๆ ที่จะกล่าวต่อไปนี้มีอยู่ 2 วิธี คือ 

วิธีรักษาสิวที่หลัง

การใช้ยารักษาสิวที่หลัง

ยาที่สามารถใช้รักษาสิวที่หลังได้นั้นมีอยู่หลายชนิด เช่น

  • กลุ่มยาปฏิชีวนะ ใช้สำหรับฆ่าเชื้อแบคทีเรียบนผิวหนัง และช่วยลดการอักเสบของสิว ลดการอุดตัน แนะนำให้ใช้ช่วงเช้า และควรใช้ร่วมกับกลุ่มยาเรตินอยด์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา เช่นคลินดามัยซิน (Clindamycin) , เบนโซอิล เพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) เป็นยาแบบทา ยาแบบกิน เช่น เตตราไซคลีน (Tetracycline) , แต่แมคโครไลด์ (Mecrolide) เป็นยาแบบกิน ที่ไม่เหมาะกับหญิงมีครรภ์ หรือเด็กอายุต่ำกว่า 8 ขวบ
  • กลุ่มยาเรตินอยด์ (Retinoid) อยู่ในรูปแบบครีมทาเฉพาะที่ ที่ทำให้ผิวไวต่อแสง จึงควรใช้เวลากลางคืน เหมาะในการรักษาสิวที่หลังระดับรุนแรงปานกลาง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรูขุมขนอุดตัน มีเตรทติโนอิน (Tretinoin) , อะดาพาลีน (Adapalene) , ทาซาโรทีน (Tazarotene)
  • กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) นิยมใช้เป็นส่วนประกอบในครีมโลชั่น หรือยา มีผลช่วยผลัดเซลล์ผิดเก่า ต้านเชื้อแบคทีเรีย และป้องกันการอดตันรูขุมขน ควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์ผิวหนั
  • แดพโซน (Dapsone) เป็นเจลทาเฉพาะที่ ใช้ลดอาการรุนแรงของสิวที่หลัง ควรทำตามคำแนะนำของแพทย์
  • ยาไอโซเตรทติโนอิน (Isotretinoin) เป็นยากินที่ใช้กับคนที่เป็นสิวที่หลังระดับปานกลางถึงรุนแรง และไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบอื่น ๆ  มีประสิทธิภาพช่วยลดสิวอุดตันและยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ยาตัวนี้มีผลข้างเคียงต่อสุขภาพ จึงควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์
  • ยายับยั้งฮอร์โมนแอนโดรเจน เป็นยากินที่ช่วยชะลอการหลั่งฮอร์โมนแอนโดรเจนที่ทำหน้าที่ผลิตน้ำมันบนผิวหนังมากเกินไปจนก่อให้เกิดการอุดตันที่รูขุนขน จนในที่สุดเกิดเป็นสิวอักเสบขึ้น

การเลเซอร์เพื่อรักษาสิวที่หลัง

การรักษาสิวที่หลังด้วยการเลเซอร์นั้น จะมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง และที่สำคัญควรเลือกคลินิกหรือสถานพยาบาลที่น่าเชื่อถือได้มาตรฐาน และมีเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย สะอาดถูกสุขอนามัย พร้อมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านผิวหนังการรักษาสิวที่หลังด้วยเลเซอร์ จัดเป็นวิธีที่เห็นผลลัพธ์เร็วที่สุด

  • เทคนิคฉายแสง Dual Yellow Laser ที่มีการฉายแสงสีเหลืองที่คลื่นความถี่ 578 นาโนเมตร และแสงสีเขียวที่คลื่นความถี่ 511 นาโนเมตร  มาช่วยกำจัดสาเหตุและต้นตอของการเกิดสิวที่หลัง ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวให้ดูเรียบเนียน กระจ่างใส
  • เลเซอร์ Fotona ที่มีความยาวคลื่น 2,940 นาโนเมตร ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและกระชับรูขุมขน วิธีนี้จำเป็นต้องใช้ยาชาในการลดความเจ็บปวดระหว่างการเลเซอร์
  • เลเซอร์ IPL ใช้ระบบแสงพลูออเรสเซนต์ผสานกับระบบพลาสมาไลต์ ช่วยกระชับรูขุมขนและเพิ่มความกระจ่างใสให้แผ่นหลังดูเรียบเนียน
  • เทคนิค Diode เป็นเลเซอร์หัวเย็น ดังนั้นผิวหนังจะไม่เจ็บ ไม่เบิร์น เป็นเลเซอร์ที่มีหลายความยาวคลื่น และหลายความยาวแสง  ช่วยรักษาสิวที่หลังโดยไม่ทำลายเม็ดสีเมลานินในผิวหนัง
  • Q-Switch Laser เป็นเลเซอร์ที่มีเข้มข้นและความหนาแน่นสูง ลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนังแท้ ทำให้ผิวกระจ่างใสและเรียบเนียน ช่วยลดสิวอักเสบลงด้วย

ป้องกันสิวที่หลังด้วยวิธีใดบ้าง

การที่จะป้องกันสิวที่หลัง ก็ควรพยายามลดโอกาสที่จะทำให้เกิดสิวขึ้นถึงแม้จะทำได้ค่อนข้างยาก เพราะมีสาเหตุทั้งจากปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอก ดังนั้นจะเป็นการดีที่สุดที่จะพยายามรักษาความสะอาดร่างกาย เลี่ยงพฤติกรรม ที่อาจก่อให้เกิดการอุดตันตรงบริเวณที่เหงื่อออก หรือหมักหมม วิธีที่จะช่วยป้องกันสามารถทำได้ง่าย ๆ เช่น

  • สวมใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสมกับสภาพอากาศ กับสถานที่ เช่น สวมใส่เสื้อผ้าหลวม ๆ ระบายอากาศได้ดี ในบริเวณที่มีแสงแดดแรง หรืออากาศร้อน ๆ เป็นต้น
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว และดูแลผิวที่มีประสิทธิภาพในการช่วยลดการสะสมเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะหลังที่ทำความสะอาดได้ยาก เพื่อลดโอกาสการเกิดสิวที่หลัง
  • ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิซิลิกในการขัดผิวอย่างอ่อนโยน เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและน้ำมันส่วนเกินบนผิวหนัง เพื่อลดจำนวนเซลล์ผิวที่ตายแล้วที่จะไปอุดตันรูขุมขน
  • ควรกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ธัญพืช ลีนโปรตีน ผัก และผลไม้เยอะ ๆ จะได้ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดสิวที่หลัง ไปจนถึงสิวส่วนอื่น ๆ ได้
  • ไม่ควรปล่อยให้ผิวแห้ง เพราะจะทำให้เกิดริ้วรอย และยังผลิตน้ำมันออกมามากเกินไปจนทำให้เกิดสิวอุดตันได้ ดังนั้นหมั่นคอยทาโลชั่นเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างสม่ำเสมอ

ป้องกันสิวที่หลังด้วยวิธีใดบ้าง

คำถามที่พบบ่อย

รักษาสิวที่หลังใช้เวลากี่วัน ?

การรักษาสิวที่หลังที่ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากการที่เหงื่อออกและแห้งไปในตัว จึงควรรักษาความสะอาดด้วยการอาบน้ำ ชำระร่างกายให้สะอาด จากนั้นเช็ดตัวให้แห้ง ในเสื้อผ้าที่แห้งสะอาด แต่หากใช้ยากิน สิวก็อาจจะแห้งภายใน 2-4 สัปดาห์ และใช้ยาทาต่อเนื่องอีก 4-6 สัปดาห์ สิวก็หลุดออกได้ง่าย

ข้อสรุป

สิวสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ที่มีต่อมไขมัน นั่นหมายถึงนอกจากใบหน้าแล้ว ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายก็เกิดสิวได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นสิวบนใบหน้า สิวที่หลัง สิวที่หน้าอก เป็นต้น เกิดจากต่อมไขมันที่ผลิตไขมันมากเกิน + เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วไปอุดตันรูขุมขน และหากติดเชื้อแบคทีเรีย ก็จะทำให้เกิดการอักเสบมีหนองขึ้นได้

การรักษาให้หายก็ง่าย ๆ เพียงแค่ต้องรู้ชนิดของสิวที่หลัง รู้สาเหตุว่ามาจากปัจจัยภายในหรือภายนอก หาวิธีป้องกันแต่เนิ่น ๆ สำหรับการหาวิธีรักษาหามีสิวที่หลังแล้ว ต้องพิจารณาถึงระดับความรุนแรงของสิวและใช้วิธีรักษาที่เหมาะสม แต่ถ้าเป็นสิวชนิดรุนแรงก็ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังที่เชี่ยวชาญให้ทำการรักษาเพื่อไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ

Thank you for your Vote Rating
[Total: 0 Average: 0]