เจาะลึกเรื่อง ฝ้า และเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีป้องกันและวิธีรักษาฝ้าให้หายขาด อ่านจบ saiwink รับรองทุกคนจะรู้ลึกเรื่อง ฝ้า ๆ แน่นอนค่ะ !
ฝ้า คืออะไร
ฝ้า (Melasma) คือ เม็ดสีผิวเมลานิน ที่มีหน้าที่กรองรังสียูวี เมื่อผิวโดนแสงแดดมากเกินไป เมลานินจะถูกผลิตออกมาก รังสีที่มีผลทำให้เกิดฝ้า คือ รังสียูวีเอ เพราะรังสียูวีเอจะมีคลื่นยาวกว่ารังสียูวีบี จึงเข้าไปทำลายผิวได้ลึก จะสังเกตได้ว่าคนที่โดนแดดเป็นเวลานานๆ หรือโดนแดดเป็นประจำ จะทำให้ผิวคล้ำ และเกิดฝ้าได้ง่าย
ฝ้า กับ กระ
เรียกได้ว่า ถ้ามีฝ้า ก็จะมี กระ เพราะกระบวนการที่ทำให้เกิดฝ้า และ กระ คล้ายกัน แต่ก็มีข้อแตกต่างตรงที่ ฝ้า จะมองเห็นชัดกว่า มีบริเวณกว้างกว่า เป็นมากที่บริเวณโหนกแก้ม มักจะเกิดกับคนที่อายุประมาณ 30 ปี ขึ้นไป และมีความเปลี่ยน แปลงของฮอร์โมน ส่วนกระ จะเกิดจากแสงแดด ความร้อน และอายุ
สาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้า
ฝ้า เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ บางคนอาจจะเข้าใจว่า ฝ้า เกิดจากที่เราโดนแสงแดด แล้วเกิดเป็นจุดดำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั่นเป็นเพียงหนึ่งในสาเหตุของการเกิดฝ้าเท่านั้น รอยดำคล้ำบนใบหน้า นั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้
1. เกิดจากฮอร์โมน
ฮอร์โมนถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฝ้า คนที่เป็นฝ้าจากฮอร์โมนมักจะไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองเป็นฝ้า เพราะดูแลตัวเองดีมาก ใช้ครีมกันแดดทุกวัน แต่กลับมีฝ้าเต็มหน้า ใช้ครีมรักษาฝ้า ก็ไม่หาย ถ้ามีลักษณะแบบนี้ อาจเป็นฝ้าที่เกิดจาก ฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน มีการกระตุ้นสร้างเม็ดสีผิวเพิ่มมากขึ้น คนที่เป็นฝ้าประเภทนี้ ส่วนมากจะเป็นหญิงที่ตั้งครรภ์ เพราะฮอร์โมนในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงนั่นเอง
อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มีผลต่อฮอร์โมน คือ การกินยาคุมกำเนิด คนที่เป็นฝ้าจากยาคุมกำเนิด นั้น มาจากกินยาคุมกำเนิดที่มีส่วนผสมของเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน
2. เกิดจากรรมพันธุ์
หลายคนอาจกำลังสงสัยว่า ฝ้า ส่งต่อทางกรรมพันธุ์ได้จริงหรือ จากสถิติพบว่า คนที่เป็นฝ้ามากกว่าร้อยละ 30 มีคนในครอบครัวที่เคยเป็นฝ้ามาก่อน ซึ่งอาจเกิดจากอยู่สภาพแวดล้อมเดียวกันก็เป็นได้
3. เกิดจากแสงแดด
เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าแสงแดดเมืองไทยร้อนขนาดไหน และนอกจากแสงแดดจากดวงอาทิตย์แล้ว ยังมีแสงสีจากหลอดนีออน แสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ แสงจากสมาร์ทโฟน ซึ่งเป็นสิ่งที่คนเราต้องสัมผัสโดยตรงทุกวัน จึงเป็นการหลีกเลี่ยงได้ยาก จึงทำให้มีคนเป็นฝ้าเพราะสาเหตุนี้กันเยอะ เพราะในแสงแดดมีคลื่นรังสียูวีเอ ยูวีบี ที่เป็นสาเหตุของการเกิดฝ้า ไปกระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีเมลานิน จึงเกิดรอยดำหรือที่เรียกว่าฝ้า ขึ้น ครีมกันแดด หรือครีมรักษาฝ้าที่ไม่ส่วนผสมของ ยูวีเอและยูวีบี จึงป้องกันและรักษาฝ้าไม่ได้ผล
4. ปัจจัยอื่น ๆ
เช่น อารมณ์ คนที่มีความเครียดรุนแรง หรือการเลือกใช้เครื่องสำอางค์ที่มีส่วนผสมของสารต้องห้ามทำให้เกิดอันตรายต่อผิวจนเป็นสาเหตุของการเกิดฝ้าตามมา หรือบางคนแพ้ยาบางชนิดก็ทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน
ดังนั้น เพื่อการรักษาฝ้าได้ผล ก่อนจะซื้อครีมรักษาฝ้า มาใช้ ควรสังเกตตัวเองก่อนว่า ฝ้าที่เกิดขึ้นเกิดจากสาเหตุอะไร หรือเข้าไปปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง ให้วิเคราะห์สภาพผิวที่เกิดฝ้า เพื่อให้แพทย์แนะนำ ครีมรักษาฝ้า ได้ตรงกับปัญหาที่เกิดขึ้นจริง จะได้ไม่เสียเวลาไม่เสียเงินฟรีๆ
ประเภทของฝ้า
โดยทั่วไป ฝ้า จะแบ่งออกเป็น 4 ชนิด
1. ฝ้าตื้น หรือ Epidermal type ฝ้าตื้น เกิดจากเซลล์ผิวมีการสร้างเม็ดสีผิวที่ชั้นหนังบนสุด จึงทำให้เกิดฝ้าที่บริเวณหนังชั้นกำพร้า มีลักษณะสีน้ำตาลเข้ม บางครั้งอาจมีสีเข้มจนเป็นสีเทาดำ ทำให้มองเห็นขอบของฝ้าด้วยสายตาได้อย่างเช็ดเจน
2. ฝ้าลึก หรือ Dermal type เกิดจากเซลล์ผิวสร้างเม็ดสีออกมาอยู่ใต้ชั้นหนังกำพร้า คืออยู่ชั้นหนังแท้ จึงทำให้ฝ้าลึกมีสีอ่อนกว่าฝ้าต้น ซึ่งฝ้าลึกจะมีสีน้ำตาลอ่อน สีน้ำตาลเทา ขอบเขตของฝ้าก็ไม่ค่อยชัดเจน สีจะดูกลืนไปกับสีผิวบริเวณรอบข้าง
3. ฝ้าผสม หรือ Mix tupe คือผิวที่มีปัญหาฝ้าผสมกันระหว่างฝ้าลึกกับฝ้าตื้น ถือว่าเป็นฝ้าชนิดที่พบมากที่สุดในคนทั่วไป
4. ฝ้าเลือด หรือ Vascular melisma เกิดจากความผิดปกติของเส้นเลือดฝอยบนบริเวณผิวหน้า ซึ่งมีสาเหตุจากการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารเคมีอันตราย เช่น สารไฮโดรควิโนน จึงทำให้ส่งผลถึงเส้นเลือดฝอยแตกและมีเลือดกระจุกใต้ผิวหนังชั้นลึก ซึ่งฝ้าเลือดจะมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลแดง และถือว่าเป็นฝ้าที่รักษายาก ต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาจะได้ผลกว่ารักษาด้วยการซื้อครีมรักษาฝ้ามาใช้เอง
วิธีรักษาฝ้า
การเป็นเกิดได้จากหลายสาเหตุ วิธีรักษาฝ้าก็ทำได้หลายวิธีเช่นกัน ไปดูว่าวิธีไหนเหมาะกับคุณมากที่สุด โดยข้อมูลที่เรานำมาเสนอมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อต้องขอขอบคุณข้อมูล วิธีรักษาฝ้า จาก medthai นะค่ะ
- การใช้ครีมรักษาฝ้าหรือครีมบำรุง เป็นวิธีแรกที่เราจะแนะนำ เช่น ครีมทาฝ้า ครีมแก้ฝ้า ก็เป็นทางเลือกที่ดี สามารถทำให้ ฝ้า กระ จางลงได้ โดย saiwink เรามีแนะนำ ครีมทาฝ้าแก้ฝ้าที่ได้รับความนิยมด้วยนะค่ะ ติดตามได้ที่นี้เลย ครีมทาฝ้า
- การป้องกัน สิ่งแรกที่ควรทำมากกว่าการรักษาฝ้า คือ การป้องกันไม่เกิดฝ้า เป็นวิธีการที่ดีที่สุด เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ฝ้าเกิดจากฮอร์โมนและแสงแดด ดังนั้น สิ่งที่เราป้องกันได้คือ หลีกเลี่ยงจากแสงแดดและใช้ครีมกันทาก่อนออกจากบ้านทุกวัน ยิ่งแดดบ้านเราแรงซะขนาดนี้ ถ้าไม่อยากเกิดฝ้า ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มี SPF30 ขึ้นไป และทากันแดดอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และนอกจากทาครีมกันแดดแล้ว คุณควรสังเกตตัวเองว่า เวลากินยาประเภทไหนแล้วเกิดฝ้า ก็ควรหลีกเลี่ยงยาประเภทนั้น เพื่อป้องกันการเกิดฝ้า เช่น ยาคุมกำเนิด เครื่องสำอาง และหมั่นดูแลตัวเองให้มีสุขภาพดีจากภายใน เช่น การับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ทานผักผลไม้เยอะๆ เพราะจะมีวิตามินแร่ธาตุต่างๆในการบำรุงผิว ทำให้ผิวแข็งแรง เป็นอีกแรงที่ช่วยป้องกันการเกิดฝ้าได้
- ลอกฝ้าด้วยกรด TCA กรด AHA เป็นวิธีลอกฝ้าที่ช่วยทำให้เซลล์ผิวชั้นบนกับเมลานินหลุดออกได้ ช่วยผลัดเซลล์ผิวให้หลุดออกและเซลล์ผิวใหม่เกิดขึ้นมาแทนที่ แต่มีข้อควรระวังอย่างหนึ่ง คือ ผิวจะไวต่อแสงมาก หากคุณเลือกวิธีรักษาฝ้าด้วยวิธีนี้ ต้องเตรียมวิธีดูแลรักษาหลังทำให้ดี และอย่าทำบ่อยเกินไป
- รักษาฝ้าด้วยการฉีดเมโส เพราะการฉีดเมโสเข้าไปบริเวณที่มีปัญหาเรื่องฝ้า จะทำให้ตัวยาเข้าไปถึงชั้นผิวที่มีปัญหาเรื่องฝ้าทำให้ฝ้าจางลง แต่การรักษาฝ้าด้วยวิธีนี้ไม่ได้ช่วยให้ผ้าหายแต่เป็นเพียงการทำให้ฝ้าจางลงเท่านั้น
- การฉีดสเต็มเซลล์ การฉีดสเต็มเซลล์ เป็นการรักษาผิวให้ดูอ่อนเยาว์ ผิวดูเด็กลง ซึ่งส่งผลให้ฝ้าลดลงไปด้วย แต่ผลทางการวิจัยพบว่า คนที่มารักษาฝ้าโดยที่มีอายุไม่มาก สเต็มเซลล์ก็ช่วยรักษาฝ้าได้ผลดีเช่นกัน สเต็มเซลล์ที่ช่วยลดฝ้าได้จริง ได้แก่ สเต็มเซลล์จการกของเด็กที่เพิ่งคลอด และ สเต็มเซลล์จากผิวหนังแกะ ซึ่งมีราคาสูง
- รักษาฝ้าด้วยไอออนโต ไอออนโตเป็นเครื่องมือกำเนิดกระแสไฟระดับอ่อน ที่ช่วยผลักยาและวิตามินให้ซึมซาบเข้าสู่ผิวมากขึ้น มากกว่าการทาด้วยมือธรรมดา ทำให้ยาที่ทาออกฤทธิ์ได้เร็วซึ่งมีผลต่อการรักษาฝ้าได้เป็นอย่างดี ตัวยาที่นิยมนำมาทำ จะอยู่ในรูปแบบของเจล เช่น เจลอาร์บูติน เจลวิตามินซี เจลโคจิก การรักษาฝ้าด้วยวิธีนี้ถือว่าดี เพราะมีผลข้างเคียงน้อย แต่ก็อาจจะทำให้ผิวระคายเคืองบ้างในบางคน ถ้าอยากให้ฝ้าหายเร็วควรทำเป็นประจำ สัปดาปละ 1-2 ครั้ง ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน
- การรักษาฝ้าด้วยการกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี วิธีการรักษาฝ้าวิธีนี้ เป็นการช่วยเร่งการขจัดเซลล์ผิวชั้นหนังกำพร้าให้หลุดออกได้เร็วขึ้น ส่งผลให้รอยดำจากฝ้าจางลง ซึ่งวิธีรักษาด้วยการกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี จะเหมาะกับคนที่เป็นฝ้าต้น มากกว่า ข้อควรระวังวิธีนี้คือ บางคนที่มีผิวบอบบางอาจเกิดการระคายเคืองผิวได้ เนื่องจากความแรงของเครื่องกรอผิว
- การรักษาฝ้าด้วยการทำเลเซอร์ Fraxel เป็นการทำเลเซอร์ที่ใช้พลังงานความรอ้นเข้าไปกระตุ้นเซลล์ผิวให้มีการผลัดเซลล์ผิวได้เร็วยิ่งขึ้น แต่การรักษาฝ้าด้วยวิธีนี้ มีความปลอดภัยก็จริง แต่คนที่ทำหน้ามักจะบวมแดงหลังทำเสร็จ และต้องระวังเรื่องแสงแดดเป็นพิเศษ เพราะผิวจะไวต่อแสงแดด ในช่วงสัปดาห์แรกไม่ควรออกไปเผชิญกับแสงแดดโดยตรง และไม่ควรทำเลเซอร์บ่อยเกินไป หากต้องการทำซ้ำ ควรปรึกษาแพทย์ หรือควรเว้นระยะอย่างน้อย 2 เดือน หากต้องการทำใหม่
- การรักษาฝ้าด้วยวิธี IPL ซึ่งการรักษาฝ้าด้วย IPL จะคล้ายกับการทำเลเซอร์ ซึ่งบางคนอาจจะเรียกว่าเลเซอร์ไปเลยก็มี เพราะเป็นการใช้แสงยิงไปที่ผิวให้เกิดความร้อน ซึ่งความร้อนจะไปทำลายเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวดูขาวใสขึ้น ซึ่งการรักษาฝ้าด้วยวิธีนี้จะไม่เจ็บและไม่ใช้ยาชาเหมือนการทำเลเซอร์ทั่วไป หลังจากทำ IPL เสร็จอาจผิวอาจจะแดงบ้าง แต่ก็จะหายไปเอง และอาจจะมีสะเก็ด แต่ก็จะค่อยหายไปเอง เพื่อให้ได้ผลดี ควรทำทุก 2 สัปดาห์ ในช่วงแรก ถึงแม้ฝ้าจะจางลงแต่การทำ IPL ไม่สามารถทำให้ฝ้าหายหาดได้ แต่ช่วยให้จางลงเท่านั้น เพราฝ้าสามารถกลับมาเป็นอีกได้เสมอ หากดูแลตัวไม่ดี
ดังนั้น วิธีการรักษาฝ้าได้ดีที่สุด อันดับแรกคือ การป้องกันไม่ให้เกิดฝ้า ทั้งการป้องกันภายใน คือ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีวิตามินที่ช่วยบำรุงผิว เช่น ผัก ผลไม้ ที่มีวิตามินเอ วิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระ และการป้องกันภายนอก คือ การทาครีมกันแดด และเลือกใช้เครื่องสำอางที่เหมากับผิวเพื่อหลีกเลี่ยงการแพ้
เมื่อเกิดฝ้าขึ้นแล้ว ควรรีบรักษาอย่าปล่อยไว้ให้ลุกลาม การเลือกวีธีการรักษาฝ้าให้เหมาะกับสภาพผิวก็เป็นอีกวิธีที่ทำให้ฝ้าหายเร็วยิ่งขึ้น