ฟิลเลอร์ใต้ตา
ปัญหาใต้ตาเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งปัญหาด้านสุขภาพ พันธุกรรม ยิ่งถ้าเป็นในคนที่อายุเพิ่มมากขึ้น กระดูกใต้ตายุบตัวลง ปัญหาจากการใช้สายตาที่ไม่ถูกต้อง อย่างการเล่นโทรศัพท์มือถือ ก็ทำให้กล้ามเนื้อรอบดวงตาหย่อนยาน และมีริ้วรอยก่อนวัยได้
การเกิดปัญหาใต้ตามีหลายลักษณะที่แตกต่างกันออกไป เช่น ใต้ตาคล้ำ ขอบตาดำ เบ้าตาลึก ตาโหล ถุงใต้ตา ใต้ตาหย่อนคล้อย ริ้วรอยใต้ตา ซึ่งเป็นจุดที่สังเกตได้ง่ายบนใบหน้า และส่งผลทำให้ใบหน้าของเราดูโทรม ไม่สดใส แลดูแก่ก่อนวัย ทำให้ขาดความมั่นใจ
แม้การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จะสามารถแก้ไขปัญหาใต้ตาที่เกิดขึ้นได้อย่างตรงจุด แต่พอเป็นอะไรที่ใกล้ตา หลายคนมักจะเป็นกังวลไม่น้อย และเกิดคำถามในใจว่า จะฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาดีไหม ? อันตรายหรือเปล่า ? เห็นผลจริงหรือไม่ ? อยู่ได้นานไหม ?
และความไม่รู้เรื่องการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานี้เอง จึงเกิดบทความนี้ขึ้นเพื่อตอบ 10 คำถามเรื่องฟิลเลอร์ใต้ตาที่ถูกถามเข้ามามากที่สุด พร้อมให้ความรู้เรื่องการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอย่างละเอียด เพิ่มความมั่นใจก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เชิญอ่านกันได้เลย
ฟิลเลอร์ คืออะไร ?
ฟิลเลอร์ (Filler) คือ สารเติมเต็มผิวประเภทไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) ที่ผลิตขึ้นเพื่อเลียนแบบสารที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติ ใช้ทดแทนส่วนสำคัญของโครงสร้างผิว คอลลาเจนและไฮยาลูรอน ที่ร่างกายสูญเสียไปเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่นและมีริ้วรอย ร่องลึก
ฟิลเลอร์ นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในคลินิกเสริมความงาม เพื่อช่วยเติมเต็ม เสริมในชั้นผิวหนัง และใต้ผิวหนัง ให้กลับมาเรียบเนียน เต่งตึง ดูอ่อนเยาว์ลงได้ อีกทั้งฟิลเลอร์ยังช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคตได้อีกด้วย โดยจุดที่ได้รับความนิยมในการฉีดฟิลเลอร์ มีดังนี้
- ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- ฉีดฟิลเลอร์ปาก
- ฉีดฟิลเลอร์แก้มส้ม
- ฉีดฟิลเลอร์จมูก
- ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก
- ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม
- ฉีดฟิลเลอร์ขมับ
- ฉีดฟิลเลอร์คาง
ฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะกับใคร ?
ฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะกับคนที่มีปัญหาใต้ตา ได้แก่
- คนที่มีร่องใต้ตา ถุงใต้ตา มีรอยคล้ำใต้ตา
- ไม่มีเวลาพักฟื้น ไม่อยากลางาน
- ต้องการเห็นผลรวดเร็ว และอยู่ได้นาน
- ต้องการยกกระชับหน้า อยากดูเด็กลง แต่ยังมีความเป็นธรรมชาติ
- ร่องตาลึก ใต้ตาคล้ำ ถุงใต้ตา รอยตีนกา
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อันตรายไหม ?
บริเวณใต้ตาเป็นจุดที่หลายคนเป็นกังวล เพราะเป็นการฉีดฟิลเลอร์ใกล้อวัยวะที่สำคัญอย่างดวงตา การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจึงต้องฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์การฉีดหน้าอย่างน้อย 5-10 ปี ผ่านเคสมาหลากหลายจะมีความชำนาญ สามารถประเมินภาพรวมของใบหน้า รู้เทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง จึงจะมั่นใจได้ว่าการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามีความปลอดภัย ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
ควรฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาในคลินิกเสริมความงามที่ได้มาตรฐาน เปิดอย่างถูกต้อง ตรวจสอบได้ ฟิลเลอร์ที่ฉีดต้องเป็นฟิลเลอร์แท้เท่านั้น ฟิลเลอร์อันตรายไหม ฟิลเลอร์แท้สามารถสลายได้หมด 100% ใน 6-24 เดือนขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์และการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ของแต่ละบุคคล ไม่มีสารตกค้าง ไม่เป็นอันตราย
การที่จะรู้ว่าคลินิกเสริมความงามแห่งนั้นใช้ฟิลเลอร์แท้หรือไม่ มีขั้นตอนการตรวจสอบ 3 ฟิลเลอร์ใต้ตาที่คลินิกเสริมความงามส่วนใหญ่นิยมใช้ ดังนี้
วิธีตรวจสอบ ฟิลเลอร์ใต้ตาแท้
- ยี่ห้อ Juvederm (อเมริกา)
- มีเลขทะเบียนอย. และเอกสารกำกับภาษาไทยอยู่ภายในกล่อง
- กล่องมี 2 cc และเลข lot ต้องตรงกัน 4 จุด คือ
- เลข lot ที่กล่อง
- เลข lot ที่ซอง
- เลข lot ที่สติกเกอร์
- เลข lot ที่หลอด
- สามารถโทร. เช็กเลข lot. และคลินิกได้ที่บริษัทผู้จัดส่ง Allergan Thailand (DSKH) โทร.02-6404999 ต่อ 1
- ยี่ห้อ Restylane (สวีเดน)
- มีรอยปรุสำหรับเปิดกล่อง
- มีเลขทะเบียนอย. และมีเอกสารกำกับภาษาไทยอยู่ภายในกล่อง
- มีสติกเกอร์ โมโนแกรม คำว่า “VOID”
- เลข lot. ตรงกัน 2 จุดคือ
- เลข lot. ที่ข้างกล่อง
- เลข lot. ที่หลอด
- สแกน QR CODE ด้วยแอปพลิเคชัน Eztracker เพื่อตรวจสอบยาแท้
- สามารถสอบถามเลข lot. และคลินิกได้ที่บริษัท Galderma โทร. 02-0231800 ต่อ 402
- ยี่ห้อ Belotero (สวิตเซอร์แลนด์)
- มีเลขทะเบียนอย. และมีเอกสารกำกับภาษาไทยอยู่ภายในกล่อง
- กล่องมี 2 cc และเลข lot ต้องตรงกัน 3 จุด คือ
- เลข lot ที่กล่อง
- เลข lot ที่สติกเกอร์
- เลข lot ที่หลอด
- สามารถโทร. เช็กเลข lot. และคลินิกได้ที่บริษัทผู้จัดส่ง Merz Aesthetics โทร.092-254-2662
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อไหนดี ?
การฉีดฟิลเลอร์ตา ถือเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมมากในคลินิกเสริมความงาม ปัจจุบันมียี่ห้อของฟิลเลอร์ใต้ตาให้เลือกมากมายหลายยี่ห้อ ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ในการเลือกใช้ฟิลเลอร์ นอกจากต้องเลือกฟิลเลอร์แท้เพื่อความปลอดภัยแล้ว ยังต้องเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ให้เหมาะสมกับสภาพผิวใต้ตา และสภาพปัญญาใต้ตาของแต่ละบุคคลด้วย
ผิวหนังใต้ตาค่อนข้างบอบบางจึงต้องพิถีพิถันทั้งในเรื่องการเลือกใช้ฟิลเลอร์ และการฉีดฟิลเลอร์ ถ้าใช้ฟิลเลอร์ที่ฉีดแล้วผิวฟูมากเกินไป จะทำให้ตาบวม ดูไม่เป็นธรรมชาติ การเลือกฟิลเลอร์ ปริมาณฟิลเลอร์ให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาผิวของแต่ละบุคคลจึงต้องให้ความสำคัญ
มาดูกันว่าปัญหาผิวใต้ตาของแต่ละคน เหมาะกับการ ฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี โดยฟิลเลอร์ใต้ตามี 3 ยี่ห้อที่แพทย์ชั้นนำเลือกใช้ คือ ฟิลเลอร์ Juvederm, ฟิลเลอร์ Restylane และ ฟิลเลอร์ Belotero โดยในแต่ละยี่ห้อจะมีรุ่นที่แยกย่อยออกมาเพื่อให้แพทย์เลือกใช้ตามความเหมาะสมกับปัญหาใต้ตาของคนไข้แต่ละราย
ลำดับที่ | ยี่ห้อ | จำนวน | ราคา | ระยะเวลา | คุณสมบัติ |
1 | Juvederm Voluma | 1 CC | 13,000 | 18 เดือน | เนื้อแข็ง ฟูปานกลาง ยืดหยุ่นสูง อุ้มน้ำและให้ความเป็นธรรมชาติ |
2 | Juvederm Volite | 1 CC | 14,000 | 8-12 เดือน | เนื้อละเอียด ใช้เติมใต้ตาชั้นตื้น เหมาะกับคนผิวบางแต่ไม่มากเกินไป |
3 | Juvederm Volux | 1 CC | 18,000 | 18-24 เดือน | เนื้อแข็ง มีความยืดหยุ่นและคงตัว สำหรับฉีดเสริมกระดูกใต้ตาชั้นลึก |
4 | Restylane Defyne | 1 CC | 13,000 | 18 เดือน | เนื้อเจลแข็งปานกลาง มีความยืดหยุ่นและอุ้มน้ำได้ดี |
5 | Restylane Vital Light | 1 CC | 13,000 | 6-12 เดือน | เนื้อละเอียดมากที่สุด ใช้สำหรับเคสที่ผิวบาง ๆ |
6 | Restylane Vital | 1 CC | 14,000 | 12 เดือน | เนื้อละเอียด เกลี่ยง่าย เหมาะสำหรับเก็บรายละเอียด ให้ผลเรียบเนียน เป็นธรรมชาติ |
7 | Restylane Perlane lyft | 1 CC | 13,000 | 12 เดือน | เนื้อแข็ง มีความคงตัวสูง ไม่ฟู และสามารถคงรูปได้ดีที่สุด |
8 | Restylane Classic | 1 CC | 14,000 | 12 เดือน | เนื้อแข็ง เก็บรายละเอียดใต้ตาในผิวชั้นลึก สำหรับคนผิวบาง |
9 | Belotero Volume | 1 CC | 13,000 | 18 เดือน | เนื้อแข็ง มีความยืดหยุ่นและคงตัว เหมาะฉีดเสริมกระดูกใต้ตาชั้นลึก |
10 | Belotero Soft | 1 CC | 13,000 | 6-12 เดือน | ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด เหมาะสำหรับฉีดใต้ตา |
ทั้งนี้ การเลือกยี่ห้อของฟิลเลอร์ให้เหมาะกับปัญหาผิวใต้ตาของแต่ละบุคคล ก็เพื่อความปลอดภัยและความเป็นธรรมชาติ ฉีดแล้วตาไม่แข็ง ฉีดแล้วไม่เป็นก้อนใต้ตา จึงต้องให้ความสำคัญกับการเลือกแพทย์ที่มากด้วยประสบการณ์ เพื่อให้แพทย์แนะนำรุ่นที่เหมาะสมกับปัญหาใต้ตาของแต่ละบุคคล
การปฏิบัติตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอย่างละเอียด ทำความเข้าใจถึง ข้อดี-ข้อเสีย ก่อนตัดสินใจทำ
- เลือกคลินิกที่จะฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา รายชื่อและข้อมูลแพทย์ เปรียบเทียบราคาที่เหมาะสม และดูรีวิวจากผู้ใช้บริการจริงจากคลินิกนั้น ๆ จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ
- เมื่อตัดสินใจฉีด ควรงดยา แอสไพริน, NSAIDs เช่น Ibuprofen Diclofenac Ponstan เป็นเวลา 1 อาทิตย์ก่อนทำหัตถการ และควรปรึกษาแพทย์ที่รักษาอยู่ก่อนที่จะหยุดยานั้น ๆ
- ควรงดการแวกซ์ผิว ผลัดเซลล์ผิว การดึงขนหรือโกนขนในบริเวณนั้น ๆ เป็นเวลา 3 วันก่อนทำหัตถการ
- หากมีคอร์สทำหน้านวดหน้าหรือเลเซอร์ต่าง ๆ ที่ต้องทำเป็นประจำ ควรทำมาก่อนอย่างน้อย 3 วันก่อนทำฟิลเลอร์หรือร้อยไหม เพราะหลังทำต้องเว้นไปอีก 2 อาทิตย์
- หากมีโรคประจำตัว หรือยาที่กินเป็นประจำอื่น ๆ ควรเตรียมข้อมูลไว้เพื่อแจ้งกับแพทย์ก่อนที่จะทำหัตถการ
- ควรงดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด 24 ชม. ก่อนทำ เช่น เข้าซาวน่า ออกกำลังกายชนิด Cardio การดื่มแอลกอฮอล์
- สามารถแต่งหน้ามาได้ เมื่อถึงคลินิกจะมีการทำความสะอาดบริเวณจุดที่จะฉีดให้ก่อน
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา มีข้อควรระวังอะไรบ้าง ?
สิ่งที่ต้องระวัง คือ การฉีดฟิลเลอร์ปลอม ฟิลเลอร์หิ้ว ซึ่งนอกจากจะไม่สามารถแก้ปัญหาใต้ตาที่เกิดขึ้นแล้ว อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมา ฟิลเลอร์ไม่สามารถสลายให้หมดไปได้ 100% ฉีดกับหมอเถื่อน หมอกระเป๋า ไม่มีความรู้และประสบการณ์มากพอ อาจเกิดความผิดพลาดและเป็นอันตรายต่อดวงตาได้สูง
ดังนั้น การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจึงต้องใช้ฟิลเลอร์แท้ เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เช่น ฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน กดไม่ลง จากการฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณที่มากเกินไปในชั้นผิวที่ตื้น ฟิลเลอร์แท้จะสามารถฉีดสลายได้อย่างรวดเร็ว แต่โอกาสเกิดน้อยมาก ต่างจากฟิลเลอร์ปลอม และนั่นจึงเป็นเหตุผลให้การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ต้องฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์
เพื่อความคุ้มค่าหลังการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาให้อยู่สวยคู่ใบหน้าของเราไปได้นาน ๆ หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามีข้อควรปฏิบัติ ดังนี้
- นอนหัวสูงกว่าหน้าอก : โดยการหนุนหมอนที่ศีรษะอย่างน้อย 2 ใบ ไม่ควรนอนตะแคง ควรหาหมอนข้างมากันไว้ทั้งซ้ายและขวาใน 2-3 คืนแรกหลังทำเพื่อป้องกันการกดทับหน้า
- ควรทานยาที่แพทย์จ่ายให้หลังทำต่อเนื่องจนครบ: เพื่อช่วยลดอาการบวม และป้องกันการติดเชื้อ
- ควรดื่มน้ำมาก ๆ : วันละ 1.5-2 ลิตร เพราะฟิลเลอร์เป็นสารที่อุ้มน้ำ การดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยให้ฟิลเลอร์ฟู ได้รูป และช่วยให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นานขึ้น
- อย่าขยับใบหน้าเยอะ : โดยเฉพาะในช่วง 3 วันหลังทำ เพราะจะทำให้ฟิลเลอร์ที่ทำไว้เคลื่อนผิดตำแหน่งได้
ฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นก้อน เกิดจากอะไร? แก้ไขได้ไหม ?
ปัญหาการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แล้วเป็นก้อนบวม เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้
- เลือกฟิลเลอร์ไม่ถูกรุ่นไม่เหมาะกับบริเวณที่ฉีด
- ใช้เทคนิคการฉีดไม่ถูกต้อง
- ใช้ฟิลเลอร์ปลอม หรือฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน
- แพทย์ที่ฉีดให้ไม่มีความชำนาญทางด้านการฉีดฟิลเลอร์
การแก้ไขต้องดูว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ถ้าฉีดด้วยฟิลเลอร์แท้ HA (Hyaluronic Acid) สามารถใช้ตัวยาไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase : HYAL) ฉีดเพื่อสลายฟิลเลอร์ได้
ข้อแนะนำและข้อห้ามหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเสร็จครบ 1 ชม. สามารถแกะพลาสเตอร์ที่แพทย์ติดให้ตามรอยเข็มออกได้ อาจจะมีอาการบวมแดง เขียวช้ำ หรือคันได้ในจุดที่ทำ ห้ามแกะ เกา กด หรือนวดในจุดนั้น ๆ เพราะอาจอักเสบและเกิดการติดเชื้ออาการเหล่านี้จะค่อย ๆ ดีขึ้นใน 2- 3 วัน หากผ่าน 3 วันไปแล้วอาการบวมแดงไม่ดีขึ้น ให้กลับมาที่คลินิกเพื่อตรวจเช็กเพิ่มเติม
7 ข้อแนะนำเพิ่มเติมหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- หลังฉีดสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ
- สามารถล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ โดนน้ำได้ไม่เกิน 15 นาที
- ขณะล้างไม่ควรขัดหรือนวดหน้า
- งดทาครีมบริเวณรอยเข็ม 1 คืน
- งดทำทรีตเมนต์ ซาวน่า 14 วัน
- แนะนำให้อยู่ในอากาศเย็น ๆ จะช่วยลดอาการบวมลงได้เร็วขึ้น
- ในบางเคสอาจปวดระบมตามรอยเข็มในคืนแรกหลังทำ สามารถกินยาแก้ปวดได้
และในช่วง 14 วัน หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ยังมีข้อห้ามอีก 6 ข้อที่ควรปฏิบัติเพื่อให้ผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามีประสิทธิภาพ และคงผลลัพธ์ได้นานขึ้น
6 ข้อห้ามหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา (หลังฉีดครบแล้ว 14 วัน)
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะขัดขวางกระบวนการสมานแผล อาจส่งผลให้รอยเข็มหายช้า
- ควรงดสูบบุหรี่ ในบุหรี่มีสารหลายชนิดที่ขยายหลอดเลือด ขัดขวางกระบวนการสมานแผล มีผลทำให้ยุบบวมช้า และผลการรักษาอยู่ได้สั้นลง
- หลีกเลี่ยงอาหารดิบ อาหารหมักดอง เพราะอาจมีพยาธิบางตัวที่ปนเปื้อนเข้าไปในร่างกาย เพิ่มการอักเสบหลังจากการฉีดฟิลเลอร์
- งดอาหารประเภทรสจัด เผ็ดจัด เค็มจัด หวานจัด เพราะจะไปกระตุ้นการอักเสบบนผิวหน้าได้ง่าย ทำให้รอยเข็มหายช้า
- เลี่ยงอาหารที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อน ๆ เพราะความร้อนจากหน้าเตาส่งผลต่อฟิลเลอร์ได้ จึงควรงดอย่างน้อย 3 วัน
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสอากาศร้อน ๆ หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา โดยเฉพาะในช่วง 48 ชั่วโมงแรกหลังทำ เพราะจะทำให้เลือดหมุนเวียนที่ใบหน้ามากขึ้น ส่งผลให้เกิดการบวมเพิ่มมากขึ้นได้
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาใช้กี่ CC ?
โดยทั่วไปการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากี่ CC จะขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล ปริมาณ CC ของฟิลเลอร์ใต้ตาที่ใช้จึงไม่เท่ากัน ในเคสที่อายุมาก มีปัญหากระดูกใต้ตายุบตัวมาก ๆ ใต้ตาลึก การฉีด 2 – 4 CCในการรักษา จะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ในผู้ที่มีร่องใต้ตาไม่ลึกมาก การฉีดข้างละ 1 CCก็เพียงพอต่อการรักษา โดยแพทย์จะพิจารณาปริมาณการใช้ฟิลเลอร์เป็นเคส ๆ ไป
หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้จะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันที แต่ยังไม่ใช่ผลที่ชัดเจน เพราะหลังฉีดเสร็จมีอาการบวมเข็มให้เห็น ต้องรอสักระยะให้ยุบบวมเต็มที่ประมาณ 14 วัน ถึงจะเห็นผลที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเท่าไหร่ ?
ฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 13,000.-/1 CC โดยฟิลเลอร์แท้จะมีราคาค่อนข้างสูง จึงทำให้มีฟิลเลอร์ใต้ตาปลอมออกมาจำนวนมาก แต่ถ้ามองถึงผลลัพธ์และความปลอดภัยแล้ว ถือว่าคุ้มค่ากว่ามาก
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เห็นผลเลยไหม ?
หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะเห็นผลถึงการเปลี่ยนแปลงได้ทันที ใต้ตาจะเต็มขึ้น ริ้วรอยและถุงใต้ตาลดลง การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาใช้เวลาทำไม่นาน เจ็บน้อย ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น หลังฉีดอาจมีอาการบวมแดงเล็กน้อย แต่จะหายไปเองใน 2-3 วัน การยุบบวมและเห็นผลเต็มที่ใน 2 สัปดาห์ จากนั้นฟิลเลอร์จะสลายได้ตามธรรมชาติ ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและการดูแลตัวเองหลังฉีด
ฟิลเลอร์ใต้ตากับโบท็อกใต้ตา ต่างกันอย่างไร ?
ฟิลเลอร์ใต้ตาและโบท็อกใต้ตา มีความแตกต่างกัน ดังนี้
ฟิลเลอร์ ใช้ฉีดเพื่อเติมเต็มผิวบริเวณใต้ตาที่เป็นร่องลึก ให้ดูตื้นขึ้น ริ้วรอยและรอยคล้ำดูจางลง
โบท็อก ฉีดเพื่อลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ โบท็อกจะไปรบกวนการทำงานของระบบประสาท มีผลทำให้มัดกล้ามเนื้อทำงานลดลงชั่วคราว ผิวหนังก็จะตึงขึ้น ไม่เกิดรอยพับ ริ้วรอยหางตาหรือรอยตีนกาก็จะดูจางลง
ดังนั้น นอกเหนือจากปัญหาร่องลึกใต้ตา ขอบตาดำ ที่สามารถฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาให้ตื้นขึ้นได้แล้ว หากมีความกังวลเรื่องริ้วรอยเล็ก ๆ รอยตีนกา รอยเหี่ยวย่นจากการขยับใบหน้า แพทย์ชั้นนำส่วนใหญ่จะแนะนำการฉีดโบท็อกใต้ตาร่วมด้วย เพื่อช่วยลดริ้วรอย และเพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
ถุงใต้ตากับดอลลี่อาย ต่างกันอย่างไร ?
ถุงใต้ตากับดอลลี่อายเป็นคนละส่วนกัน “ดอลลี่อาย” คือ บริเวณขอบตาล่าง มีลักษณะตึงกระชับและเป็นขอบชัดเจน ส่วน “ถุงใต้ตา” จะเป็นถุงไขมัน กินพื้นที่กว้างบริเวณใต้ตา และมีความหย่อนคล้อยร่วมด้วย
สรุปความแตกต่าง ถุงใต้ตา กับ ดอลลี่อาย
- ถุงใต้ตา เป็นถุงไขมันบริเวณใต้ตา จะมีขนาดใหญ่สังเกตได้ชัด เมื่ออายุมากขึ้นจะเริ่มหย่อนคล้อย ทำให้ ใบหน้าดูโทรมและมีอายุ
- ดอลลี่อาย เป็นมัดกล้ามเนื้อบริเวณขอบตาล่าง จะสังเกตได้ชัดขึ้นเวลายิ้มหรือหัวเรา การมีดอลลี่อายจะทำให้ใบหน้าดูเด็กลง
สรุปคือ การมีถุงใต้ตาจะทำให้ใบหน้าดูโทรมและมีอายุ ส่วนดอลลี่อายจะทำให้ใบหน้าดูเด็กลง และหน้าหวานขึ้น
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ที่ไหนดี ?
เพื่อการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ปลอดภัย ควรเลือกลินิกเสริมความงามที่ได้มาตรฐาน โดยมีวิธีสังเกต ดังนี้
9 วิธีเลือกคลินิกปลอดภัยได้มาตรฐาน
1. คลินิกเปิดให้บริการถูกต้องตามกฎหมาย ได้มาตรฐาน มีใบอนุญาต เลขที่ใบอนุญาต 11 หลักที่ให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล ติดไว้ในที่เปิดเผยและเห็นได้ง่าย
2. แพทย์มีประสบการณ์การทำหัตถการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาและปรับรูปหน้า 5-10 ปี
3. ใช้ฟิลเลอร์แท้ ปลอดภัย ตรวจสอบได้
- ฟิลเลอร์แท้ทุกยี่ห้อที่ใช้ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจาก อย.
- นำเข้าและเก็บรักษาอย่างถูกต้อง สามารถตรวจสอบเลข Lot. ได้
- ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรให้แพทย์แกะกล่องและหลอดฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้า
- หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาควรเก็บกล่องและหลอดฟิลเลอร์กลับบ้าน เพื่อตรวจสอบว่าเป็นฟิลเลอร์แท้
4. คลินิกสะอาด กว้างขวาง
5. มีรีวิวจากแหล่งที่เป็นกลาง เชื่อถือได้
- มีรีวิวฟิลเลอร์ใต้ตา จากแหล่งที่เป็นกลาง เชื่อถือได้ และไม่สามารถลบออกได้
- มีรีวิวที่อัปเดตเป็นปัจจุบัน แสดงถึงความนิยม มีผู้ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง
- มีรีวิวทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ ก่อน-หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เพื่อเห็นผลลัพธ์และฝีมือของแพทย์
6. สามารถส่งรูปหน้าให้แพทย์ประเมินปัญหาก่อนได้ในเบื้องต้น
7. นัดหมายติดตามผลทุกครั้งหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
8. มีหลายสาขาพร้อมให้บริการ เดินทางสะดวก
9. ราคาสมเหตุสมผล เลือกได้ตามงบประมาณ
สรุป
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา นอกจากช่วยแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อย ถุงใต้ตา ลดริ้วรอยใต้ตา ตาคล้ำได้จริงและตรงจุดหลังฉีดเห็นผลทันทีแล้ว ยังเป็นหัตถการที่ไม่ทำให้เกิดแผล เหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากเจ็บตัว ไม่อยากผ่าตัด ไม่อยากพักฟื้น ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ช่วยให้หน้าเด็กลงได้อย่างเป็นธรรมชาติ และยังเป็นตัวช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคตได้
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาถือเป็นทางเลือกที่ดี ในการแก้ปัญหาใต้ตาอย่างตรงจุด ช่วยเพิ่มความมั่นใจ การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน เลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง และเลือกฟิลเลอร์ใต้ตาแท้ ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่มีความคุ้มค่า เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้ และไม่เกิดความเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายต่อดวงตาของเราอีกด้วย